ปี 2025 อาจเป็นอีกหนึ่ง “ปีทอง” ของคริปโตเคอร์เรนซี เมื่อข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ชาวอเมริกันเริ่มถือครองบิตคอยน์มากกว่าทองคำแล้ว
ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดพุ่งแตะระดับประมาณ 7.13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่ามูลค่ารวมของ 10 บริษัทจดทะเบียนไทยที่มีมูลค่าสูงสุด รวมกันราว 174.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น 648.36%
ในงาน Bitkub Meetup 2025 ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ “รู้ทันโลกใหม่: การเงิน เทคโนโลยี และการลงทุนในอนาคต” เล่าถึงอินไซต์ของบิตคอยน์ในปีนี้ไว้ TODAY Bizview จะมาสรุปให้ฟังง่ายๆ
[ บิตคอยน์ยังคงเป็นเจ้าตลาด ]
บิตคอยน์ยังครองตำแหน่งเหรียญที่ใหญ่ที่สุดในตลาดคริปโต ด้วยสัดส่วนมากถึง 62% ของมูลค่ารวมทั้งหมด และหากดูจากสถิติย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 2009 จะพบว่า ทุกๆ 4 ปี จะเกิด “ไซเคิลขาขึ้น” ของบิตคอยน์หลังการ Halving (การลดรางวัลขุดบล็อกลงครึ่งหนึ่ง)
ขณะนี้เรายังอยู่ในช่วงไซเคิลขาขึ้น (Bullish cycle) โดยสถิติในอดีตชี้ว่า จุดสูงสุดของรอบนี้มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นภายใน 18 เดือน ซึ่งหมายถึงช่วงปลายปี 2025
[ ปัจจัยที่เร่งการเติบโตของบิตคอยน์ ]
- ไซเคิลบิตคอยน์ยังไม่จบ และปีนี้ยังไม่ใช่จุดสูงสุด
จากประวัติศาสตร์ของบิตคอยน์ ทุกครั้งหลัง Halving จะเกิดช่วงขาขึ้นแรงตามมา และรอบนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ยังมีความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและการเมืองระหว่างประเทศ
- นักลงทุนหลักเปลี่ยนไป จากรายย่อยสู่สถาบัน
ต่างจากรอบก่อนๆ ที่นักลงทุนรายย่อยเป็นกลุ่มหลัก ครั้งนี้สถาบันการเงินรายใหญ่กลับเป็นผู้นำเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BlackRock ที่ถือครองบิตคอยน์จำนวนมากผ่าน ETF ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติในปี 2024 โดยกองทุน ETF ก็ถือครองบิตคอยน์ไปแล้วกว่า 24% ของ Supply ทั้งหมด
การที่กฎหมายเริ่มรองรับการลงทุนในคริปโตของสถาบัน ส่งผลให้เม็ดเงินขนาดใหญ่หลั่งไหลเข้าตลาด ซึ่งทำให้บิตคอยน์เริ่มมีลักษณะคล้าย “สินทรัพย์ทางการเงิน” มากขึ้น ทั้งในแง่ความผันผวนที่ตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจ การเมือง และนโยบายดอกเบี้ยอย่างชัดเจน
- บิตคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์หลักของโลก
ปัจจุบัน บิตคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก และเริ่มถูกซื้อสะสมโดยทั้งบริษัทเอกชนและภาครัฐ เช่น สหรัฐฯ และจีน บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือที่สูงขึ้นในฐานะ “Store of Value” เช่นเดียวกับทองคำ
- ความเสี่ยงและผลตอบแทน บิตคอยน์กำลังคอนโทรลได้ดีขึ้น
เมื่อพูดถึงความคุ้มค่าระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน ทองคำยังครองแชมป์ แต่บิตคอยน์ตามมาติดๆ โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งต้องการความเสถียรระดับหนึ่งในพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังได้เปรียบในเรื่องของการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของนักลงทุนระยะยาว เพราะถือเป็นเหรียญใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเหรียญเล็ก แต่ยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
‘จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ หรือ ‘ท๊อป บิทคับ’ มองว่าราคาบิตคอยน์ให้เดาตอนนี้ยาก แต่ถ้าอีก 5 ปีหรือนานกว่านั้นเราจะทำนายราคาได้ง่ายขึ้น
สรุปง่ายๆ ว่าตอนนี้บิตคอยน์คือ “ทองคำดิจิทัล” ที่กำลังเข้าสู่กระแสหลัก ปลายปีอาจเป็นช่วงเวลาทองสำหรับนักลงทุน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะมีความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ สงครามการค้า และนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่เมื่อดูจากสถิติ แนวโน้ม และพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ บิตคอยน์กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกอย่างมาพร้อมความเสี่ยง และผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ











