‘ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ’ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) พูดถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่าน่าจะเห็นการพื้นตัวตลอดทั้งปี ตั้งเป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด
โดยคาดว่างบประมาณของรัฐบาลน่าจะผ่านในช่วงต้นปี ทำให้รัฐบาลจะเริ่มลงทุนในโครงการต่าง ๆ ทำให้การลงทุนของรัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 3.8% จากปี 2566 ที่คาดไว้ 2.7% หากโครงการ Digital Wallet เกิดขึ้น แต่ถ้าโครงการนี้ไม่เกิดเศรษฐกิจไทยก็ยังคงเติบโต 3.2% ส่วนตัวเลขส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3.8% จากปีนี้ที่อาจติดลบ 1.3%
ภาคท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวปีหน้าอาจกลับมาอยู่ระดับ 35 ล้านคนต่อปี แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่อยู่ 40-41 ล้านคนต่อปี
ด้านกำไรจากการดำเนินงานของ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจเติบโตประมาณ 15% ซึ่งจะใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
ในแง่ Valuation ของตลาดหุ้นไทย ค่า P/E คาดว่าจะซื้อขายระดับ 16.50 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย P/E ระยะยาวของไทย (ปัจจุบันคาดการณ์ค่า P/E ปี 2567 เท่ากับ 14 เท่า) เทียบกับปี 2566 ที่อยู่ 16.40 เท่า
ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง จากระดับสูงสุดในช่วงกลางปี 2566 โดยคาดว่าปีหน้าอัตราเงินเฟ้อไทยจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากผลกระทบภัยแล้ง แต่คงไม่แรงและกลับไปสร้างปัญหากับนโยบายการเงิน
ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองกรอบเงินเฟ้อไม่เกิน 2% ขณะที่ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มองประมาณ 1% ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยอาจปรับลดลงอีก 1 ครั้ง จากปัจจุบันที่อยู่ 2.5% ลงมาอยู่ที่ 2.25% ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2567
สำหรับค่าเงินบาทในปี 2567 น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น มองไว้ที่ 34.30 บาท จาก 2 ปีที่ผ่านมาที่ผันผวนผิดปกติตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย
ปัจจัยที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ทั้งกรณีรัสเซีย และยูเครนรวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และราคาน้ำมันดิบ
กลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ
- อันดับ 1 คือ ตราสารหนี้สัดส่วน 43% มองเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลก แต่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพ
- อันดับ 2 คือ ทองคำ สัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง
- อันดับ 3 คือ หุ้น สัดส่วน 45% แบ่งเป็นหุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38% แต่ต้องรอดอกเบี้ยลดลงระดับหนึ่งก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่โดดเด่นปีหน้า คือ กลุ่มธนาคาร, การบริโภคภายในประเทศ, ค้าปลีกส่งออกแปรรูป, การท่องเที่ยว,อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตไฟฟ้า
ส่วนกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 16% แย่กว่าตลาดเอเชีย, ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรป จากหลายปัจจัยกดดันโดยเฉพาะการปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย
แต่ในช่วงเดือน ธ.ค. ตลาดทั่วโลกน่าจะฟื้นตัวกลับมาบ้าง หลังเริ่มรับรู้ปัจจัยดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว โดยปียนี้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงสุดในรอบ 18 ปี สูงที่สุดในรอบ 23 ปี
นักวิเคราะห์คาดว่าปัจจุบันทุกอย่างเริ่มกลับสู่ช่วงปกติ และคาดหวังจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567 โดยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยควรจะอยู่ในกรอบ 2.0-2.5%
มองตลาดหุ้นไทยเดือนสุดท้ายของปีนี้จะขึ้นไม่ได้มากมองระดับ 1,430 จุด โดยอาจได้แรงหนุนเล็กน้อยจากเม็ดเงินกองทุนรวม TESG ที่จะเข้าซื้อหุ้นในเดือน ธ.ค.นี










