ผลการศึกษาของ CDC ชี้ ประสิทธิภาพวัคซีนในสหรัฐฯ ช่วงเดลตาระบาด เม.ย.-ส.ค. 64 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงแรก แต่กลุ่มตัวอย่างที่ติดเชื้อยังไม่มาก อาจต้องรอการศึกษาระยะยาวเพิ่มเติม
วันที่ 24 ส.ค. 2564 สำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) รายงานผลการศึกษาโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ที่ชี้ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ ไฟเซอร์ (Pfizer) และ โมเดอร์นา (Moderna) ลดลงในช่วงการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา
ทาง CDC ได้เก็บข้อมูลการฉีดวัคซีนนับตั้งแต่ช่วงต้นของการใช้งาน ในกลุ่มบุคลากรสาธารณสุข หน่วยฉุกเฉิน และผู้ที่ทำงานในแนวหน้า โดยกลุ่มตัวอย่างกว่า 4,000 คนที่เข้าร่วมการศึกษานี้ ต่างเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นประจำทุกสัปดาห์
ในกลุ่มดังกล่าว ประกอบด้วยผู้ที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค 65% โมเดอร์นา 33% และ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 2%
ผลการศึกษาชี้ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 14 ธ.ค. 2563 ถึง 10 เม.ย. 2564 ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนอยู่ที่ 91%
แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันที่ 14 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อสายพันธุ์เดลตามีการระบาด ผลปรากฎว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเหลือ 66%
อย่างไรก็ตาม ทางนักวิจัยให้ความเห็นเสริมว่า นอกจากสมมุติฐานเรื่องเชื้อเดลตาทำให้ประสิทธิภาพลดลงแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการที่ตัววัคซีนเอง อาจมีประสิทธิภาพลดลงหลังผ่านไปหลายเดือน และในช่วงที่ประเมินประสิทธิภาพได้ 66% ก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นกว่าการศึกษาในช่วงแรก
นอกจากนั้น ในช่วง 11 เม.ย. – 14 ส.ค. ก็มีกลุ่มตัวอย่างติดเชื้อเพียง 21 รายเท่านั้น (19 รายไม่ได้ฉีดวัคซีน / 2 รายฉีดวัคซีน) ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในช่วงก่อน 10 เม.ย. ที่มีกลุ่มตัวอย่างติดเชื้อ 228 ราย (194 รายไม่ได้ฉีดวัคซีน / 34 รายฉีดวัคซีน) จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้หากเพิ่มระยะเวลาการเก็บข้อมูล
ถึงแม้การศึกษาหลายตัวบ่งชี้ว่า ความรุนแรงของเชื้อเดลตาทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนเลย ก็อาจได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าเช่นกัน
ผลการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งของ CDC ในลอสแอนเจลิสในช่วง 1 พ.ค. ถึง 24 ก.ค. 2564 พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนนั้น มีโอกาสที่จะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากอาการป่วยโควิด-19 มากกว่ากลุ่มที่ฉีดวัคซีนถึง 29.2 เท่า
