ปัจจุบันระหว่าง ‘จีน’ และ ‘สหรัฐอเมริกา’ กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในด้าน ‘เทคโนโลยี’ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และ AI เพราะต่างล้วนอยากเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีกันเสียทั้งนั้น
[ สงครามเทคโนโลยี 2 มหาอำนาจ ]
เพื่อต้องการเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‘สหรัฐอเมริกา’ พยายามคว่ำบาตรและควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนทางเทคโนโลยีไปยังจีนที่ต้องพึ่งพาตนเป็นทุนเดิมอยู่ 84%
และยังออกข้อห้ามต่างๆ เพื่อขัดขาเทคโนโลยีในจีน อาทิ ห้ามบริษัทในสหรัฐอเมริกาผลิตหรือออกแบบชิปให้กับ Huawei บริษัทเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าสุดในจีนหรือห้ามบริษัทสหรัฐอเมริกาดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัท Tencent Holdings (WeChat) และ ByteDance (TikTok)
หรือในอุตสาหกรรม ‘ชิป’ ที่จีนพยายามผูกมิตรและต้องการรวมประเทศเข้ากับ ‘ไต้หวัน’ ที่มีบริษัท ‘TSMC’ ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก สหรัฐฯ ก็พยายามผูกมิตรด้วยการส่งตัวแทนเข้าเยี่ยมเยือนประเทศและเชิญชวนให้ TSMC ไปตั้งฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน
[ การตอบโต้ด้วยเทคโนโลยีของจีน ]
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ‘จีน’ ก็ไม่หยุดที่จะมุ่งสู่การเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาและใช้ทรัพยากรในประเทศได้ นั่นก็คือ ‘อุตสาหกรรม AI’
ไอเดียนี้ของจีนมาจากกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการ cloud รายใหญ่ในจีนอย่างเช่น Alibaba เปิดตัวโซลูชั่น AI จำนวนมากและได้รับกระแสตอบรับที่ดี ประกอบกับอุตสาหกรรม AI เป็นเทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาได้ในประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีมากนัก
[ เป้าหมายของจีน AI ฉลาดขึ้น-เร็วขึ้น ]
กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ และอีก 6 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปักกิ่ง เผยว่า “ภายในปี 2025 จีนตั้งเป้าที่จะพัฒนาอุตสาหกรรม AI ให้ประมวลผลเร็วขึ้นและฉลาดขึ้นอีก 50%”
เพราะการพัฒนา AI จำเป็นจะต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วสูงในการประมวลผลทำให้ทางการปักกิ่งมีอีกหนึ่งเป้าหมายคือ “พัฒนาคอมพิวเตอร์ให้รวดเร็วขึ้นถึง 300 Exaflops (หน่วยวัดสมรรถนะในการทำงานของคอมพิวเตอร์)”
ในปี 2022 ความเร็วของคอมพิวเตอร์ในจีนอยู่ที่ 180 Exaflops
และปัจจุบันความเร็วของคอมพิวเตอร์สูงสุดอยู่ที่ 197 Exaflops
ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีของจีนหากสามารถพัฒนาความเร็วในการประมวลผลไปถึง 300 Exaflops ในระยะเวลาเพียง 3 ปี
ก่อนหน้านี้บริษัท Apple ในมณฑลกุ้ยโจว จับมือกับบริษัทพันธมิตรในจีนจัดตั้งศูนย์ให้บริการ iCloud แก่ลูกค้าและสามารถช่วยเหลือให้ผู้คนได้เข้าใจเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นการพัฒนาความก้าวหน้าของบริการ Big Data ที่ทุกคนเข้าถึงได้
ทำให้รัฐบาลจีนมองเห็นโอกาสและในภาคตะวันตกของจีนเป็นเขตพื้นที่ที่มีฐานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จีนต้องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ต้องไม่ช้าเกิน 5 มิลลิวินาที ความเสถียรในการถ่ายโอนข้อมูล และอื่นๆ เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีในประเทศ
[ ข้อจำกัดที่ ‘จีน’ ต้องเผชิญ ]
แต่ในทางกลับกันจีนยังคงเผชิญข้อจำกัดในการพัฒนา เพราะชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่สำคัญอย่าง ‘หน่วยประมวลผลกราฟิก’ หรือ ‘GPU’ มีบริษัทรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง ‘Nvidia’ เป็นเจ้าของและสหรัฐเคยสั่งว่าห้ามขายให้กับจีน จึงน่าติดตามว่าในสถานการณ์เช่นนี้จีนจะสามารถพัฒนา AI แซงหน้าสหรัฐได้หรือไม่
เรื่องราวการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีของ 2 มหาอำนาจโลกยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ความท้าทายเหล่านั้นจะส่งผลถึงธุรกิจของคุณอย่างไรในอนาคตข้างหน้า มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็น Deep Tech ที่ภายในงาน Corporate Innovation Summit 2023 (CIS2023) งานอีเวนต์ที่รวมนักธุรกิจ ‘ระดับโลก’ มาไว้ในไทยมากที่สุด ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 14-15 พฤศจิกายนนี้ ณ True Digital Park
พิเศษ! กรอกโค้ด ‘TODAY’ ที่ช่องสั่งซื้อหน้าเว็บไซต์ Eventpop รับส่วนลดทันที 1,000 บาทจากราคาปกติ คลิก https://www.eventpop.me/e/16216/cis2023?utf8=%E2%9C%93&discount_code=TODAY
ที่มา
-
-
- https://www.cnbc.com/2023/10/09/china-targets-boost-in-computing-power-as-ai-race-with-us-ramps-up.html
- https://www.reuters.com/technology/china-targets-30-growth-computing-power-race-against-us-2023-10-09/
- https://www.youtube.com/watch?v=B3d8Lc3Cc_4&t=518s
-










