‘จีน’ ยอมหว่านเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจเน้นอัดฉีด หนีเงินฝืด สกัด GDP หลุด 5%

หลังจีนเผชิญวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่แตก การบริโภคภายในอ่อนแอลงส่งผลให้ภาคการผลิตล้น จนมาล่าสุดรับมือกับความท้าทายจาก ‘ภาษีทรัมป์’

จีนขยับแบบไหนส่งผลต่อหลายประเทศ ดังนั้นแผนการ ‘กระตุ้นเศรษฐกิจใหม่’ ล่าสุดของจีนในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนประจำปี หรือ NPC จึงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะการที่จีน ยอมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 300,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท แม้จำนวนเงินก้อนนี้จะยังไม่มากเท่าที่หลายฝ่ายคาดหวังก็ตาม แต่ก็อิมแพคพอที่จะทำให้การบริโภคภายในประเทศขยับขึ้น

แล้วภาพรวมจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแผนใหญ่ออกมามีอะไรบ้าง TODAYBizview สรุปไว้ตรงนี้

เป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการนี้ รัฐบาลจีนต้องการกระตุ้นการบริโภคอย่างจริงจัง และขยายอุปสงค์ภายในประเทศผ่าน 8 มาตรการหลัก คือ

1. 1. 1. ส่งเสริมการเติบโตของรายได้ เพิ่มสวัสดิการว่างงาน และสนับสนุนโครงการช่วยเหลือการจ้างงานปรับขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำอย่าง “เหมาะสมและเป็นระบบ” เพื่อลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มบัณฑิตจบใหม่

1. 1. 1. สนับสนุนศักยภาพการบริโภค ส่งเสริมให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นผ่านมาตรการสนับสนุนทางการเงิน

1. 1. 1. เพิ่มการบริโภคภาคบริการ พัฒนาและปรับปรุงบริการ ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ขยายรายการประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า เพื่อกระตุ้น การท่องเที่ยว

1. 1. 1. ยกระดับสินค้าบริโภคสำคัญ สนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าคุณภาพสูงขึ้น

1. 1. 1. ปรับปรุงคุณภาพการบริโภค กระตุ้นให้มีมาตรฐานสินค้าที่สูงขึ้น

1. 1. 1. ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการบริโภค ทำให้ตลาดมีความโปร่งใสและเชื่อถือได้มากขึ้น

1. 1. 1. รักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น ส่งเสริมให้มี เงินทุนระยะยาว เข้ามาในตลาดหุ้น เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งสร้างความมั่งคั่งทางการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงขาลง รัฐบาลจึงต้องการให้ประชาชนหันมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน

1. 1. 1. ส่งเสริมโครงการเงินอุดหนุนการซื้อสินค้า สนับสนุนให้มีการซื้อรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน จีนเตรียมออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 300,000 ล้านหยวน (ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการนี้

[ นักวิเคราะห์เตือนต้องกระตุ้นใช้จ่ายในประเทศ ลดเงินฝืด ]

ถ้าเรามาดูในข้อ 7 ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะพบว่ามีแผนที่จะรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น ส่งเสริมให้มี เงินทุนระยะยาว เข้ามาในตลาดหุ้นจีน หลังจากที่รัฐบาลประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตื่นเช้ามาจันทร์นี้ ดัชนี CSI 300 ดัชนีรวมของหุ้นจีนในตลาดหลักทรัพย์แผ่นดินใหญ่ เปิดตลาด +0.35% ก่อนที่ราคาจะมีความผันผวนสลับขึ้นลง

โดยที่ดัชนีเพิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.43% ในวันศุกร์ และกำลังซื้อขายอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบประมาณ 3 เดือน พูดง่ายๆ ว่าตลาดหุ้นจีนกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น

‘ลูอิส ลู’ นักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนของ Oxford Economics ให้ความเห็นเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนไว้ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์บ่งชี้ว่า การผลิตยังคงแข็งแกร่ง แต่อุปสงค์ภายในประเทศยังต้องการแรงกระตุ้นเพิ่มเติม เพื่อลดแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด (Disinflation)

แต่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของจีนเน้นไปที่ การแก้ปัญหาต้นเหตุของการบริโภคที่ลดลง เช่น การสนับสนุนรายได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับความต้องการภายในประเทศอย่างมาก ซึ่งผลกระทบจากมาตรการที่ประกาศก่อนหน้านี้ และการใช้จ่ายในช่วงตรุษจีน อาจจางหายไปอย่างรวดเร็ว หากรัฐบาลไม่รักษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

[ สำรวจตัวเลขเศรษฐกิจจีนล่าสุดทรงดีขึ้น ? ]

ลองมาสำรวจตัวเลขภาพรวมเศรษฐกิจจีนล่าสุด พบว่ายอดขายปลีก เพิ่มขึ้น 4.0% ในเดือน ม.ค-ก.พ. ดีกว่าเดือน ธ.ค. ที่เพิ่มขึ้น 3.7% และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.8%

ตัวเลขภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 5.9% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี แม้ว่าจะลดลงจาก 6.2% ในเดือนธันวาคม แต่ก็ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.3% ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เพิ่มขึ้น 4.1% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าปี 2024 ที่เพิ่มขึ้น 3.2%

อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ลดลง 9.8% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี ลดลงจากปีที่แล้วที่หดตัว 10.6% ซึ่งข้อมูลตัวเลขเหล่านี้ยังคงบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับความท้าทาย ทำให้รัฐบาลจีนได้ออก “แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ” หรือมาตรการชุดใหม่ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นการจ้างงานและตลาดหุ้น เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ปีนี้ รัฐบาลจีนตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ปี 2025 ไว้ที่ ประมาณ 5% เท่ากับปีที่แล้ว การจะทำตัวเลขให้ได้ถึง จีนยังต้องพยายามรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไว้ให้ได้ ที่สำคัญคือ รัฐบาลจีนกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อหยุดเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำลง และอาจสู่วังวนของภาวะเงินฝืดนั่นเอง

ที่มา