รีวิว ‘เอหิปัสสิโก’ สารคดีที่ไม่ได้เรียกเรามาดูคำตอบ แต่มาสร้างคำถาม

รีวิว ‘เอหิปัสสิโก’ สารคดีที่ไม่ได้เรียกเรามาดูคำตอบ แต่มาสร้างคำถาม

WATCHING

‘เอหิปัสสิโก’ เป็นสารคดีที่มีกระแสมาแรงงจากข่าวการเกือบโดนแบนจากกองเซนเซอร์ แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือจำนวนคนดูที่แน่นโรง เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในการฉายหนังแนวนี้ อาจเป็นเพราะสิ่งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตลอดหลายปีที่ผ่านมา และความลึกลับอันชวนสงสัยว่า ‘หลังกำแพงวัดในตึกรูปทรงกลม หรือใต้จานบินนั้นมีอะไรหนอ’

หลายคนคาดหวังว่า นี่จะเป็นสารคดีเปิดโปงวัดพระธรรมกาย แต่ที่จริงแล้วกลับทำหน้าที่เปิดประตูให้คนได้เข้าไปรู้จักวัดแห่งนี้จากมุมมองอันหลากหลาย ทั้งผู้ที่ศรัทธา ไม่ศรัทธา และเลิกศรัทธา รวมถึงนักวิชาการ และภาพจากข่าวที่เคยเห็น เรียงร้อยผ่านทางสายตาของผู้กำกับ ณฐพล บุญประกอบ อีกชั้นหนึ่ง

ความสนุกของ ‘เอหิปัสสิโก’ อยู่ที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหลายมิติ ทั้งความเห็นที่ต่างกันและความขัดแย้งในใจของผู้ชม

สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตลอดการดูก็คือความคิดที่ว่าถึงแม้ผู้ที่ศรัทธาในวัดจะมีความต้องการจะต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนต้องการความสุข ถ้าไม่ใช่ในชาตินี้ก็ชาติหน้า และวัดพระธรรมกายให้ความสุขนั้นได้ในหลายรูปแบบ

วัดได้สร้างสังคม ‘ยูโทเปีย’ หรือ ดินแดนในอุดมคติ ที่ทุกคนพูดจาดี สุภาพต่อกันเสมอ แต่งกายเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ทุกคนช่วยกันดูแลสถานที่ให้ทุกที่สะอาดเรียบร้อย ทุกอย่างเป็นระเบียบ ตั้งแต่การเดินแถวของผู้คนในวัดไปจนการจัดวางของ

ด้วยสิ่งนี้เอง สังคมในวัดอาจเป็นสังคมในฝันของใครหลายคน นอกจากความสุขที่เกิดทางกายแล้ว วัดสามารถสร้างความสุขทางใจที่มาพร้อมกับความหวังสำหรับวันพรุ่งนี้ ด้วยแนวคิดที่ว่าบุญที่ทำไปจะตอบแทนคืนกลับมาในรูปแบบของชีวิตที่ดีขึ้น หรือชาติหน้าที่กำหนดได้

สารคดีก็ยังคงพาให้เราเห็นแนวคิดที่ยังคงน่าสงสัย ซึ่งเป็นด้านที่อาจจะเปลี่ยนยูโทเปียเป็น ‘ดิสโทเปีย’ หรือ ดินแดนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของยูโทเปียได้เช่นกัน แต่ความน่าสนใจคือการที่ด้านที่ชวนตั้งคำถามนั้น ไม่ได้ถูกนำเสนอจากฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเท่านั้น แต่หลายอย่างก็มาจากตัวผู้ศรัทธาเอง

นอกจากนี้ ‘เอหิปัสสิโก’ ยังเปรียบเทียบให้เห็นว่าที่จริงธรรมกายก็ไม่ได้ต่างกับวัดอื่น มีการบริจาค มีการกราบไว้บูชาพระพุทธรูป ทำกิจกรรมต่างๆที่สะท้อนให้เห็นนรกกับสวรรค์ แต่ชัดเจนกว่ามีระบบการสะสมบุญที่เป็นเหมือนขั้นบันได ไต่ขึ้นไปได้ตามระบบทุนนิยม คล้ายกับการเล่นเกมเก็บแต้มในแต่ละด่าน ซึ่งจะมีภารกิจต่างกัน ทำมากก็ได้บุญมาก เมื่อมีบุญมากก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งง่ายต่อการทำและการเข้าใจ ชวนให้นึกถึงคำพูดที่ใคร ๆ ก็อาจคุ้นเคยตั้งแต่เด็กจนโต คือ ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ จึงไม่น่าแปลกใจที่คนจะเชื่อโดยง่าย ตัวสารคดีทำให้เราคิดถึงความสัมพันธ์แบบธรรมกายในหลายสถาบัน ชนิดที่เราเองก็ไม่เคยเชื่อมโยงมาก่อน บางทีมันอาจอยู่รอบตัวมากกว่าที่เราคิด

ผู้ชมถูกย้ำเตือนตลอดว่ากำลังได้รับฟังความจริงที่ถูกเลือกสรรและตัดต่อมาอย่างดีแล้ว การเตือนนี้เกิดจากการกล่าวถึงจากบุคคลในเรื่อง เสียงของผู้กำกับที่ผู้ชมจะได้ยินแทรกมาในบางฉาก ซึ่งทำให้อารมณ์คล้ายกับเวลาได้ฟังการเล่าข่าว ที่เป็นการเล่าความจริงผ่านมุมมองของใครคนหนึ่ง และ ‘เอหิปัสสิโก’ ก็ถูกเล่าได้สนุก ชวนระทึกเหมือนได้ดูภาพยนตร์สืบสวนเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยการลำดับภาพ และเสียงเพลงที่คอยเร้าใจผู้ชมตลอดเรื่อง

สุดท้ายแล้วสารคดีไม่ได้ให้คำตอบว่ามันถูกหรือผิด แต่ชักชวนให้เราตั้งคำถาม

‘เอหิปัสสิโก’ จึงไม่ใช่สารคดีที่มีคำตอบชัดเจนเสียทีเดียวสำหรับทุกคำถามเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย หลวงพ่อธรรมชโย หรือคดีของวัด หรือบอกว่าเราควรคิดอย่างไรกับสังคมที่เราอยู่ แต่เป็นการเชิญชวนให้มาดู มาเห็น เพื่อให้ผู้ชมตัดสินใจเองว่าควรจะ ‘โอปะนะยิโก’ หรือน้อมรับอะไรเข้ามาไว้ในใจตนเองเมื่อเวลา 85 นาทีของสารคดีหมดไป

สมกับชื่อ ‘เอหิปัสสิโก’ หรือ ‘Come and See’ ที่แปลว่าจงมาดูเถิด

:: ขอบคุณภาพ underDOC Film

วาดฝัน Writerวาดฝัน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง