โครงการ ‘คนละครึ่ง’ หนึ่งในโครงการที่คนไทยคุ้นเคยกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ โดยกำหนดจะใช้ในเดือนตุลาคมนี้ เป้าหมายสำคัญเพื่อเติมสภาพคล่องและสร้างบรรยากาศการจับจ่ายในช่วงปลายปี
โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่าสามารถเดินหน้าได้รวดเร็วและทำได้ทันที ‘ลวรณ แสงสนิท’ ปลัดกระทรวงการคลัง บอกว่า ระบบทั้งฝั่งประชาชนและร้านค้าพร้อมเดินหน้าได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ และ ‘ถุงเงิน’ ซึ่งยังคงใช้งานได้ปกติ ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมในรอบก่อนหน้าไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนใหม่ สามารถกลับมาใช้ได้ทันที
ขณะที่ร้านค้าใหม่ก็สามารถลงทะเบียนเพิ่มได้ง่ายๆ ซึ่งถือเป็นความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้มาตรการสามารถเริ่มได้อย่างรวดเร็วทันทีที่รัฐบาลประกาศเดินหน้า
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ รัฐบาลได้เตรียมเงินจาก ‘งบกระตุ้นเศรษฐกิจ’ ของปีงบประมาณ 2569 ไว้รองรับแล้ว หากโครงการเริ่มได้ทันในเดือนตุลาคมตามแผนที่วางไว้
ขณะเดียวกันยังมีงบกลางสำรองกรณีฉุกเฉินกว่า 25,000 ล้านบาท ที่พร้อมจะนำมาใช้สนับสนุนหากวงเงินไม่เพียงพอ หรือมีความจำเป็นต้องขยายเพิ่มเติม เรียกได้ว่าฝั่งการเงินไม่ใช่อุปสรรค รัฐบาลมีความพร้อมเต็มที่ทั้งระบบและงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเชิงลึกของโครงการยังไม่ได้ถูกเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ จำนวนเงินสนับสนุนต่อคนต่อวัน สัดส่วนร่วมจ่ายระหว่างรัฐและประชาชน ตลอดจนประเภทสินค้าที่เข้าร่วม ทั้งหมดนี้ยังคงต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลในช่วงถัดไป
ที่ผ่านมา ‘คนละครึ่ง’ เคยเป็นมาตรการที่สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนโดยตรง ขณะเดียวกันก็ทำให้ร้านค้ารายย่อยกลับมามีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น
ดังนั้น หากมาตรการกลับมาเดินหน้าในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ก็จะยิ่งช่วยหนุนบรรยากาศการใช้จ่ายและสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
การกลับมาของ ‘คนละครึ่ง’ จึงถูกจับตามองว่าไม่เพียงแต่จะช่วยประชาชนรู้สึกว่าเงินในกระเป๋ามากขึ้นแต่ยังอาจกลายเป็นหนึ่งในหมัดเด็ดที่รัฐบาลใหม่นี้ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศด้วย
มุมมองจากทาง aberdeen Investments เห็นว่าภายใต้มาตรการของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ จะช่วยสนับสนุนให้ภาพการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น
ในระย 4 เดือนข้างหน้า ก่อนการประชุมสภาฯ และเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง คาดว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนที่เน้นการบริโภคในประเทศ ภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการท่องเที่ยวได้รับแรงหนุน
ขณะเดียวกัน งบประมาณปี 2569 ที่ผ่านแล้ว จะช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นโยบายการคลัง ตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
โดยเราคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 2 ครั้ง ใน 6 เดือนข้างหน้า มาแตะที่ระดับ 1.00%
ถ้ามองจากปัจจัยบวกที่กล่าวมา ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน รวมถึงความคาดหวังต่อการเร่งดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นทะลุระดับ 1,300 จุดในระยะสั้น










