แม้บ้านจะเป็นเหมือนหลุมหลบภัยจากความเครียดในการทำงาน แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะบางครั้งแม้เราจะสามารถปล่อยวางความกังวลในที่ทำงานได้ แต่คนรักของเราอาจประสบปัญหาในการปล่อยวางความรู้สึกแย่ๆ ไว้ในที่ทำงานและนำความกังวลกลับมาบ้าน จนส่งผลกระทบต่อครอบครัว
วิธีแบบไหนที่เหมาะจะปลอบโยนคนรักที่กำลังเครียดกับงานและทำให้บ้านกลับมาสงบสุขอีกครั้ง?
วันนี้เรารวบรวมคำแนะนำจาก Jennifer Petriglieri ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมจากองค์กร INSEAD และ John Coleman ผู้เขียน Passion & Purpose หนังสือเพื่อชีวิตคู่ว่าเราจะรับมือยังไงได้บ้างในวันที่คนรักของเรากำลังเครียดกับงานและแบกความเครียดนั้นกลับมาบ้านด้วย
ช่วยกันรับมือกับความเครียด
อย่างแรกเลยคือ การเผชิญหน้ากับความเครียดเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตวัยทำงาน ยิ่งถ้าใช้ชีวิตร่วมกับคนรักในวัยเดียวกันก็จะมีทั้งความเครียดจากงานของตัวเองและของคนรักด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะว่าแม้การมีคนวัยทำงานสองคนมาอยู่ร่วมกันอาจจะทำให้เกิดความเครียดคูณสอง แต่ก็จะมีความรู้สึกร่วมและความเข้าใจอกเข้าใจคูณสองเช่นกัน
นอกจากนั้น การช่วยคนรักจัดการกับความเครียดยังช่วยให้เราสามารถจัดการกับความเครียดของตัวเองได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน และทำให้เราทั้งคู่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว โดยกุญแจสำคัญคือความคิดที่ว่า “เราทั้งคู่กำลังช่วยกันรับมือกับความเครียด” แทน “เราทั้งคู่ต่างกำลังรับมือกับความเครียด” อยู่
เพราะเป้าหมายคือการเป็นทางออกของคนรัก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความเครียดของคนรักจะเกิดจากความขัดแย้งกับเจ้านาย การปลดพนักงาน ความประสาทเสียจากลูกค้า เราก็จะพาเขาข้ามผ่านไปได้
ฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่ผ่านๆ
ปัญหาของวัยทำงานที่สำคัญอีกอย่าง คือ เมื่อคนรักต้องการการรับฟัง อีกคนมักจะยุ่งอยู่กับกิจวัตรประจำวันหรือกิจธุระอื่นๆ ทำให้ไม่ได้รับฟังปัญหาของคนรักอย่างจริงจัง อย่างเช่นช่วงเวลา 1 ทุ่ม เรากำลังวุ่นกับการจัดเตรียมมื้อเย็น ในขณะที่เด็กๆ วิ่งวุ่นไปมารอบๆ คนรักบอกเล่าปัญหาของเขาและเราทำแค่เพียงพยักหน้าและตอบอ่าหะๆ เท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้เขากระวนกระวายมากกว่าเดิมอีก
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า แทนที่จะฟังผ่านๆ ให้ลองให้ความสนใจพวกเขาอย่างจริงจัง ฟังและโฟกัสกับสิ่งที่พวกคนรักกำลังพูด อย่าขัดจังหวะ วิธีการแบบนี้จะทำให้คนรักสามารถระบายจนโล่งอก แม้ว่าเราจะไม่ต้องให้คำแนะนำอะไรเลย บางครั้งเราอาจไม่ต้องเป็นผู้แก้ปัญหาก็ได้ เพราะบางครั้งคนรักของเราแค่ต้องการคนรับฟังเท่านั้น
สนับสนุน เข้าใจ แต่ห้ามเปรียบเทียบ
ความพยายามในการมีส่วนร่วมก็สำคัญแทนที่จะจ้องเขม็งระหว่างคนรักกำลังพูด ลองพูดสนับสนุนคนรัก พยายามเข้าใจและรู้สึกร่วม แต่ห้ามเอาความเครียดของเรามาเปรียบเทียบเป็นอันขาด ห้ามใช้คำพูดประเภท “วันของเธอแย่แล้วหรอ อยากฟังสิ่งที่ฉันกำลังเจออยู่ไหม” เด็ดขาด เพราะคำพูดลักษณะนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย การอดทนกับความเครียดไม่ใช่เรื่องน่าแข่งขัน โดยเฉพาะกับคนรักของตัวเอง
แม้จะไม่ง่ายที่เราจะสามารถสนับสนุนและให้กำลังใจได้ตลอดเวลา เพราะในบางครั้งสภาพจิตใจของเราก็ไม่พร้อม ถ้ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมก็เลื่อนเวลาออกไปน่าจะดีกว่า จะเป็นตอนเย็น วันถัดไป หรือสุดสัปดาห์ สิ่งสำคัญคือ การเปิดช่องสำหรับการพูดคุยครั้งต่อไป ให้แน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้น
ใช้ความรู้จักรู้ใจให้เป็นประโยชน์
ข้อดีของการมีชีวิตคู่ คือ อีกคนรู้จักเราดีเหมือนที่เรารู้จักตัวเราเอง ดังนั้น ในสถานการณ์ที่คนรักกำลังไปในทิศทางที่ผิด เราอาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะตั้งคำถามหรือให้ความเห็นบางอย่างที่ช่วยให้มุมมองของเขากระจ่างขึ้น โดยเลือกใช้คำแนะนำที่อ่อนโยน เลี่ยงคำถามที่อาจจะให้ความรู้สึกแดกดันหรือเป็นลบ อาทิ “เราว่าเราเจอทางออกแล้ว ขอเราแชร์ได้ไหม”
ช่วยสะท้อนสิ่งที่เขามองไม่เห็น
นอกจากนั้น ความเครียดจากงานมี 2 แบบ คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง กับ ความเครียดที่ติดเป็นนิสัย ถ้าเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้งจากการประชุมแย่ๆ ลูกค้าปฏิเสธการจ้างงานต่ออาจจะไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นความเครียดแบบที่ติดเป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอาจจะแปลว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ อย่างเช่นการอยู่ผิดในที่ทำงานที่ผิดที่ผิดทาง
สิ่งที่คนรักทำได้คือ ช่วยสังเกตความคิด มุมมอง อารมณ์ และช่วยสะท้อนออกมาให้ชัดเจนมากขึ้น อาจจะผ่านคำถามง่ายๆ อย่างตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังโอเคอยู่ไหม เพื่อให้เขาได้สะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
ส่งเขาออกไปสร้างมิตรภาพใหม่ๆ
ที่สำคัญไม่แพ้กันอีกอย่างคือ เราไม่อาจแบกรับความเครียดของคนรักด้วยตัวเราเองคนเดียวได้ ดังนั้น การสนับสนุนให้คนรักออกไปมีชีวิตและสังคมใหม่ๆ นอกบ้าน ให้เขาและตัวเรามีอิสระในพื้นที่ของตัวเอง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง มีมิตรภาพที่จะคอยพยุงในวันที่ยากลำบาก อย่างการสร้างสังคมในงานอดิเรกหรือกิจกรรมกีฬาก็มีส่วนสำคัญให้เขาผ่านความท้าทายต่างๆ ของชีวิตไปได้เช่นกัน
ทำให้บ้านเป็นหลุมหลบภัยที่แท้จริง
สุดท้ายคือ เราต้องทำให้บ้านกลายเป็นสวรรค์ให้ได้ ทำให้บ้านกลายเป็นหลุมหลบภัยจากความเครียด เราอาจจะต้องจำกัดช่วงเวลาในการติดต่อสื่อสารเรื่องงาน โดยการลดเวลาใช้มือถือ โน๊ตบุ๊ค หรือคอมพิวเตอร์ มันจะทำให้ทั้งตัวเราเองและคนรักสามารถปล่อยวางจากงานได้มากขึ้น มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีความกดดันจากงานทับอยู่
สรุป
แม้ว่าเราจะสามารถปล่อยวางโปรเจ็กต์หรือความกังวลจากงานได้ แต่คนรักของเราอาจจะประสบปัญหาในการปล่อยวางมัน สุดท้ายความเครียดของคนรักก็จะขยับมาส่งผลกระทบต่อเราด้วย ดังนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องช่วยเขา เริ่มจากการฟังเขา ให้เขาเห็นว่าเราต้องการช่วยและเข้าใจความรู้สึกเขา ก่อนจะดูว่าเขาต้องการให้เราช่วยอะไรบ้าง บางครั้งเขาอาจจะแค่อยากระบาย บางครั้งเขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือ โดยเราสามารถถามได้ว่าเขาอยากให้เราช่วยหรือรับฟังหรือเปล่า
ถ้าหากเราสัมผัสได้ว่าคนรักกำลังอ่านสถานการณ์ในที่ทำงานผิดและติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ เราอาจจะช่วยตั้งคำถามเพื่อเปิดมุมมองให้เขา ที่สำคัญคืออย่าเอาความเครียดและความอดทนมาเปรียบเทียบแข่งขันกัน มันไม่มีประโยชน์
สิ่งที่ควรทำ
- วางมือถือลงและให้ความสนใจคู่ของคุณ
- ให้คำแนะนำอย่างอ่อนโยนและช่วยคนรักหาจุดบอด
- พัฒนานิสัยการวางงาน คุณทั้งคู่ต้องการเวลาคลายเครียด
สิ่งที่ห้ามทำ
- อย่าด่วนสรุปหาทางแก้ปัญหาให้อีกฝ่าย เพราะบางครั้งเขาเพียงต้องการระบายเท่านั้น
- อย่ามองข้ามสิ่งที่เป็นเหมือนกิจวัตร คอยสังเกตว่าคนรักของคุณกำลังติดขัดอยู่หรือเปล่า
- อย่าคาดหวังที่จะเป็นทางออกเดียวสำหรับความเครียดของอีกฝ่าย จงสนับสนุนคนรักของคุณกับงานอดิเรกและความสนใจอื่นๆ รวมถึงมิตรภาพข้างนอกบ้านด้วย
ขอบคุณภาพจาก Anastasia Sklyar on Unsplash
เรื่องโดย Rebecca Knight แปลและเรียบเรียงโดย Khattiya Thammongkolchai










