รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุ โควิดโอไมครอนระบาดในประเทศจนผ่านจุดพีคแล้ว ยืนยันแพร่เชื้อเร็วจริงแต่ไม่รุนแรง พร้อมสั่งผ่อนคลายมาตรการบางส่วน
วันที่ 31 ธ.ค. 2564 คณะรัฐมนตรีชุดพิเศษของรัฐบาลแอฟริกาใต้ออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (30 ธ.ค.) ระบุถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 4 ในประเทศ ผลจากไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน โดยชี้ว่า จากข้อมูลต่างๆ บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดระลอกที่ 4 ในแอฟริกาใต้ได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว
รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 25 ธ.ค. จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ลดลงถึง 29.7% เป็น 89,781 คน จากเดิมที่พบผู้ป่วยโควิดในสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 127,753 คน เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยโควิดเข้าโรงพยาบาลที่มีอัตราส่วนลดลงในเกือบทุกจังหวัด
ส่วนอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ล่าสุด รัฐบาลแอฟริกาใต้ประเมินว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกจังหวัด แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เป็นการเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด

จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้รัฐบาลแอฟริกาใต้ระบุว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีอัตราการแพร่เชื้อสูง แต่ก็มีสัดส่วนผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลต่ำกว่าการระบาดในระลอกที่ผ่านมา ทำให้ระบบสาธารณสุขปกติของประเทศก็มีศักยภาพรองรับได้อย่างเพียงพอ
การประเมินของรัฐบาลแอฟริกาใต้ ทำให้ทางการตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด โดยเฉพาะการยกเลิกเคอร์ฟิวช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ยังเน้นย้ำให้ทุกคนป้องกันการติดเชื้ออย่างเข้มงวด จำกัดการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก รักษาระยะห่าง และสวมหน้ากากในที่สาธารณะ โดยย้ำว่าการไม่สวมหน้ากากในจุดที่กำหนดอาจถูกดำเนินคดีอาญา
ท่าทีของรัฐบาลแอฟริกาใต้เกิดขึ้นขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เพิ่งออกมาเตือนว่า โลกอาจเผชิญสึนามิโควิดจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน และสายพันธุ์เดลตาพร้อมกัน ซึ่งการระบาดในรูปแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขให้มีความเสี่ยงล่มสลาย
สำหรับแอฟริกาใต้เป็นชาติแรกที่รายงานการพบโควิดสายพันธุ์โอไมครอนตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยพบว่าสายพันธุ์ดังกล่าวเป็นเชื้อกลายพันธุ์ และเริ่มพบสัญญาณการระบาดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระจายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดสะสมในแอฟริกาใต้ตั้งแต่วันแรกที่มีการระบาดอยู่ที่เกือบ 3.5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 90,000 คน










