สหรัฐฯ ปรับคำแนะนำ ให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากในอาคารในพื้นที่ระบาดสูง หลังโควิดสายพันธุ์เดลตาระบาดหนัก ขณะที่ ‘โจ ไบเดน’ ยืนยันสิ่งสำคัญที่สุดคือการไปฉีดวัคซีน
วันที่ 28 ก.ค. 2564 ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐฯ ปรับข้อแนะนำในการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ใหม่ โดยแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่การระบาดสูง กลับมาสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในอาคาร
โดยคำแนะนำล่าสุดยังระบุให้ทุกคนสวมหน้ากากในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน หรือบุคลากรในโรงเรียนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว รวมทั้งนักเรียนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ต้องสวมหน้ากากเช่นกัน

คำแนะนำใหม่นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงคำแนะนำเดิมที่ออกมาตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ที่อนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้วถอดหน้ากากได้ และเริ่มให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ พบการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรง มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ มีผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้วอยู่ราว 60%
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้เคยยืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ไม่บังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากาก ออกมาแถลงขอให้ชาวอเมริกันทำตามคำแนะนำของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค โดยย้ำว่า มาตรการเหล่านี้อาจทำให้เกิดความไม่สะดวก พร้อมยืนยันอีกครั้งว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาคือการไปฉีดวัคซีน
นอกจากความพยายามรณรงค์ให้พื้นที่ที่คนไปฉีดวัคซีนต่ำ เร่งไปฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้มากขึ้นแล้ว ในตอนนี้ยังมีหลายหน่วยงานในสหรัฐฯ ที่ออกคำสั่งบังคับลูกจ้างให้ต้องไปฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว เช่นนครนิวยอร์กที่สั่งจ้างให้ลูกจ้างของเมืองกว่า 300,000 คนต้องไปฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาแนะนำให้บรรดารัฐต่างๆ โรงเรียนและนายจ้าง ต้องบังคับให้ลูกจ้างไปฉีดวัคซีนได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เช่น ฟลอริดา เท็กซัส และมิสซูรี เป็นพื้นที่ที่พบผู้ป่วยโควิด-19 สูงคิดเป็น 40% ของทั้งประเทศ โดยผู้ป่วยโควิด-19 ในรัฐฟลอริดา มากเป็น 1 ใน 5 ของผู้ป่วยในสหรัฐฯ










