เรื่องหนี้ฟังเมื่อไรก็ทำให้กลุ้มใจ เพราะแนวโน้มจำนวนคนที่เป็นหนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนเวทีสัมมนาประชาชาติธุรกิจ ‘สุรพล โอภาสเสถียร’ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ขึ้นบรรยายพิเศษในหัวข้อ “คน…พลิกวิกฤต (หนี้)” เล่าถึงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่กำลังน่าเป็นห่วง
โดยได้เปิดเผยตัวเลขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นทางการในไตรมาส 4/67 เท่ากับ 16.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 88.4% ต่อจีดีพี
สิ่งที่น่ากลัวคือหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่บูสหนี้ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเริ่มมาตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สะสมหนี้จนมาถึงช่วงโควิดระบาดและทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หากย้อนดูสถิติในอดีตตัวเลขหนี้ครัวเรือนเทียบจีดีพี ตัวเลขเคยต่ำอยู่ที่ 76.4% ในปี 2556 และพุ่งขึ้นมาสูงสุดในปี 2564 ที่ 95.5% ส่วนปัจจุบันอยู่ที่ 88.4% ซึ่งหนี้ครัวเรือนไม่ควรเกิน 80% ของจีดีพี ตัวเลขตอนนี้จึงน่ากังวลมากๆ
ถ้าพูดถึงปัญหาใหญ่ของคนไทยในตอนนี้คือกำลังเผชิญกับหลุมรายได้ จากการที่รายได้ไม่เพียงพอสวนทางกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทำให้ต้องกู้เงินมากขึ้นเพื่อมาดำรงชีพ จากข้อมูลพบว่ารายได้โตปีละ 3% แต่รายจ่ายรวมภาระหนี้โตปีละ 5% สะท้อนว่ารายได้โตไม่ทันรายจ่ายทำให้เกิดหนี้
ขณะที่ ‘หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระบบเครดิตบูโร’ ข้อมูล ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 แบ่งตามประเภทสินเชื่อมีทั้งหมด 13.52 ล้านล้านบาท หนี้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหนี้คนตัวเล็กอย่างกลุ่ม SMEs ที่ต้องกู้เงินมาประครองธุรกิจ
รวมถึงหนี้ค่างวดต่างๆ อย่างสินเชื่อรถยนต์/ รถมอเตอร์ไซค์ (Auto Loan) ที่เริ่มเห็นสัญญาณของการผิดนัดค่างวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้เป็นตัวสะท้อนภาพของคนทั่วไปได้ดีว่ากำลังจ่ายหนี้ไม่ไหว
ถึงแม้ว่าตัวเลขสินเชื่อใน 4 เดือนของปีนี้จะลดลงจากเดือนมกราคมเป็นจำนวน 80,000 ล้านบาท คิดเป็นการหดตัว 0.6% เนื่องจากการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นของสถาบันการเงิน
แต่ถ้าดูที่ตัวเลขหนี้เสีย NPLs ที่มีจำนวน 1.12 ล้านล้านบาท โดยมีจำนวนรายลูกหนี้ 5.1 ล้านรายลูกหนี้ มีจำนวนบัญชี NPLs 9.1 ล้านบัญชี กลุ่มนี้คือกลุ่มเป้าหมายที่ควรเร่งแก้ไข
รวมถึงกลุ่มลูกหนี้ที่มีภาระหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท เป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่ควรรีบเข้าไปช่วยให้ปลดหนี้ได้ไวขึ้น ปัจจุบันมีประมาณ 3.3 ล้านรายลูกหนี้ มียอดรวมหนี้อยู่ที่ 1.21 แสนล้านบาท หนี้ส่วนใหญ่มาจากหนี้ส่วนบุคคล เช่าซื้อ บัตรเครดิตและสินเชื่อรถยนต์
‘สุรพล’ เล่าต่อว่า สิ่งที่จะทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงได้ก็คือการทำให้จีดีพีโตมากกว่าหนี้ครัวเรือน แต่ปีนี้ทั้งปีคาดการณ์จีดีพีไทยจะโตแค่ 1.8% เท่านั้น สถานการณ์จึงน่าเป็นห่วง ยิ่งถ้าไม่มีมาตรการอะไรดีๆ ออกมาช่วยอย่างจริงจัง ภาพรวมหนี้น่าจะแย่ลง
โดยทางเครดิตบูโรได้มีการประมาณการภาพรวมของหนี้ในช่วง 1 ปีข้างหน้าไว้หากเศรษฐกิจและจีดีพียังโตต่ำ ดังนี้
– SM (Special Mention) จะขยับเพิ่มไปอยู่ที่ประมาณ 600,000 ล้านบาท เนื่องจากมีมาตรการ DR (Debt Relief) มาช่วยประคองการไหลเพิ่มขึ้น
– NPL (Non-Performing Loan) จะค่อยๆ ขยับไปอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท
– TDR (Troubled Debt Restructuring) จะขยับเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของ NPL ซึ่งจะอยู่ที่มูลค่าเกินกว่า 1.2 ล้านล้านบาทเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังคาดว่าสัดส่วนสินเชื่อต่างๆ อย่าง สินเชื่อส่วนบุคคล รถยนต์ บัตรเครดิต ก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปด้วยในอีก 1 ปีข้างหน้า แปลว่ามีคนจะเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
“การจะทำให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนโตต่ำกว่า 80% การเติบโตของจีดีพีต้องสูงกว่าการเติบโตของหนี้ หมายความว่าการปล่อยสินเชื่อจะต้องเข้มงวดขึ้น เงื่อนไขต้องยากขึ้น และเศรษฐกิจต้องโตให้ได้มากกว่านี้ต้องมากกว่า +2% +3% +4% สถานการณ์หนี้ถึงจะดีขึ้น” นายสุรพล กล่าว










