‘สุรพล โอภาสเสถียร’ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวที่มีชื่อว่า ‘Surapol Opasatien’ รายงานข้อมูลภาระหนี้สินภาคครัวเรือนจากสถาบันการเงิน 157 แห่งที่เป็นสมาชิกซึ่งปัจจุบันครอบคลุมประชากรกว่า 30 ล้านคนทั่วประเทศ
โดยจากฐานข้อมูลในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พบว่าหนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโรอยู่ที่ 13.6 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมดอยู่ที่ 16.3 ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 0.5% แต่ติดลบที่ -0.2% หากเทียบไตรมาสก่อนหน้า
ในส่วนของระดับหนี้เสีย (NPLs) อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.8% ของหนี้รวม 13.6 ล้านล้านบาท ซึ่งพุ่งขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ก่อนพักฐานในช่วงไตรมาสที่ 4 .
ก่อนที่จะกลับมาพุ่งขึ้นต่อในปี 2567 พร้อมๆ กับมาตรการที่กลับไปสู่ความเป็นปกติ (normalize) เศรษฐกิจค่อยๆ โตกลับมาอย่างเชื่องช้า มีเรื่องการให้กู้อย่างรับผิดชอบ การแก้หนี้เรื้อรัง แก้หนี้ครบวงจร ภาพของเส้นหนี้เสียวิ่งจาก 7.7% สู่ระดับ 8.8%
ขณะที่หนี้ NPLs ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทโดยประมาณเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 14.1% และเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 3.4%
ซึ่งในส่วนของ NPLs ที่เป็นสินเชื่อบ้าน รถยนต์ เครดิตคาร์ด สินเชื่อส่วนบุคคลยังโตไม่มากจากไตรมาสก่อน แต่ที่กังวลมากคือสินเชื่อธุรกิจคนตัวเล็กหรือ SME ที่เติบโตขึ้นมากว่า 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ 5.2% จากไตรมาสก่อนหน้า
ด้านยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) มียอดคงค้างในไตรมาส 3 ปี 2567 มาหยุดที่ 4.8 แสนล้านบาทโดยประมาณ ลดลงมาทั้งช่วงเดียวกันปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้าก็มองว่าน่าจะเบาใจขึ้นได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลังเป็นหนี้เสียที่เรียกว่าทำ TDR ซึ่งตัวเลขสะสมมาอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของ 13.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นค่อนข้าช้าจากไตรมาสก่อนหน้าติดลบประมาณ 3%
ในส่วนของ DR หรือปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันก่อนเป็นหนี้เสียยอดสะสมตั้งแต่เมษายน 2567 มาหยุดที่ 1.2 ล้านบัญชี 6.45 แสนล้านบาทแล้ว










