‘อะไรจะเอาชนะเงินเฟ้อได้?’ ระหว่าง หุ้น อสังหาฯ หรือบิตคอยน์ คำถามที่ถูกโยนขึ้นมาบนเวที BITKUB SUMMIT 2025 เพื่อฟังมุมมองจากกูรูด้านการลงทุนต่างเจนเนอเรชั่นไม่ว่าจะเป็น คุณดิว ‘วีรวัฒน์ วลัยเสถียร’ และ ‘ซีเค เจิง’ ปะทะกับฝั่งนักเศรษฐศาสตร์และอสังหาฯ รุ่นใหญ่ ‘ดร.โสภณ พรโชคชัย’ และ ‘พิชัย จาวลา’ โดยมี ‘จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา’ (ท๊อป Bitkub) นั่งกลางเวที
‘ดร.โสภณ’ เปิดด้วยมุมมองสวนกระแส ยืนยันว่า ‘เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา’ เพราะรายได้ของคนเพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าอยู่แล้ว ราคาของแพงเป็นเพียงวัฏจักรธรรมชาติของเศรษฐกิจ เช่น ผักหรือปลาที่แพงตามฤดูกาล เขาชี้ว่าคุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นทุกด้าน ทั้งอาหาร การแพทย์ และการศึกษา จนอายุขัยเฉลี่ยยาวขึ้นกว่าเดิม “ไม่มีใครอดตายเพราะเงินเฟ้อ” และแนะนำให้ลงทุนในตัวเองหรือสร้างธุรกิจ เพราะอัตราเงินเฟ้อไทยยังต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากราว 2%
ขณะที่ ‘ซีเค’ มองคนละขั้ว เขาเชื่อว่า ‘เงินคือหนี้’ และเงินเฟ้อคือผลจากการพิมพ์เงินเร็วกว่าการผลิตจริง ทุกบาทในระบบเกิดจากหนี้ของรัฐบาล หากไม่มีหนี้ ก็ไม่มีเงิน ธนาคารพาณิชย์สร้างเงินจากเงินสำรองเพียง 10% แต่ปล่อยกู้ได้ถึง 90% ทำให้เงินเฟ้อเป็น ‘ผลข้างเคียงของระบบ’ มากกว่าภัยคุกคาม และหากอยากรวย ต้องเข้าใจระบบนี้ให้ทัน
‘คุณดิว’ มีมุมมองอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘ดร.โสภณ’ ที่มองว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา และ ‘ซีเค’ ที่เชื่อว่าเงินคือหนี้ โดยเห็นด้วยว่ารายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่ก็ยังตามไม่ทันกับราคาที่สูงขึ้น เปรียบเทียบว่า ในอดีตตอนที่ยังเด็ก เงินเดือนคนจบใหม่อาจเริ่มที่ 6,000–8,000 บาท ในขณะที่อาหารตามสั่งราคาเพียง 10–15 บาท แต่ปัจจุบันเงินเดือนเริ่มต้นที่ 12,000–15,000 บาท ขณะที่อาหารจานเดียวขยับไปถึง 70–100 บาท รายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่เพิ่มไม่ทันกับเงินที่มันเฟ้อขึ้น
[ คนรวยไม่ถือเงินสด ]
ประเด็นนี้กลายเป็นอีกศึกใหญ่บนเวที เมื่อ ‘ซีเค’ ย้ำว่า ‘คนรวยจริงไม่ถือเงินสด’ เพราะเงินที่อยู่นิ่งคือเงินที่สูญมูลค่า เศรษฐีจะถือเงินในรูปสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย ราว 4–5% ต่อปี เขายกตัวอย่าง Warren Buffett ที่หลายคนเข้าใจผิดว่า ถือเงินสด แต่จริงๆ แล้ว 30–40% อยู่ในตราสารหนี้และพันธบัตร เพื่อให้เงินทำงานตลอดเวลา
ส่วน ‘ดร.โสภณ’ มองต่างออกไป โดยเห็นว่าการถือเงินสดยังจำเป็น เพราะเศรษฐีต้องมีเงินสดไว้ใช้ยามวิกฤต และเพื่อคว้าโอกาสทันทีเมื่อเจอสินทรัพย์น่าสนใจ ‘มีเงินสด เราซื้อได้ทันที’ ความยืดหยุ่นนี้คือพลังอำนาจที่แท้จริงของผู้ถือเงิน
แต่ ‘ซีเค’ โต้กลับว่าความเข้าใจนี้สับสนระหว่าง ‘เงินสด’ กับ ‘สินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด’ เพราะคนรวยถือ Cash and Cash Equivalents ที่ยังให้ผลตอบแทน ไม่ใช่ปล่อยเงินนอนนิ่งในบัญชี
[ อสังหาฯ คือผู้ร้ายตัวจริง ]
‘พิชัย’ เล่าว่า สิ่งที่สร้างเงินเฟ้อแท้จริงไม่ใช่การพิมพ์เงิน แต่คือ ‘ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์’ เขายกตัวอย่างราคาที่ดินในสุขุมวิทที่เพิ่ม 10 เท่าใน 10 ปี (2546–2556) แต่กลับไม่ถูกนับในดัชนีเงินเฟ้อ เพราะหากนับรวมจริง ตัวเลขจะพุ่งจนโลกอยู่ไม่ได้ นี่คือ ‘กติกาของคนรวย’ ที่ออกแบบมาแยกเงินเฟ้อของชนชั้นกลางออกจากการลงทุนของคนรวย
และมองว่าการไม่รวมราคาที่ดินในการคำนวณเงินเฟ้อ คือการตัดชนชั้นกลางออกจากสนามความมั่งคั่ง เพราะเมื่อราคาทรัพย์สินโตเร็วกว่ารายได้ ช่องว่างทางเศรษฐกิจก็ยิ่งถ่างกว้างขึ้น คนที่เคยรวยในอดีต กลายเป็นคนจนในวันนี้ เพราะไม่ได้ถือที่ดิน เพราะถ้าอยากชนะเงินเฟ้อ ต้องอยู่ฝั่งที่ถือที่ดิน
‘ดร.โสภณ’ เสริมว่า การพุ่งขึ้นของราคาที่ดินเป็นผลจากโลกาภิวัตน์ที่ดึงเงินลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในไทยช่วงปี 2530 ทำให้ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้นกว่า 100 เท่า และยอมรับว่า ใครไม่ซื้อที่ตอนนั้น ก็จนลงจริงๆ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ พิชัย ที่เห็นว่าคนรวยเข้าใจเกมเงินเฟ้อก่อนใคร
[ BTC = 0 บาท? ]
อีกประเด็นที่ดุเดือดคือหัวข้อ Bitcoin ที่ ‘ดร.โสภณ’ เคยโพสต์บนเฟซบุ๊กว่า ‘1 BTC เท่ากับ 0 บาท’ เพราะเชื่อว่า Bitcoin ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง ไม่ใช่ตัวแทนของเงินใด และเอาไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้
‘พิชัย’ มองว่า Bitcoin อยู่ในจุดที่ร้อนแรงเกินไป เพราะเมื่อทุกเหตุผลบอกว่าราคาต้องขึ้นแน่ มักเป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่แห่เข้าซื้อ แต่สำหรับเจ้ามือที่มีเงินมหาศาล นั่นคือจังหวะ ‘ขายเพื่อลงข้างล่าง’ เพื่อควบคุมเกมและถืออำนาจต่อรองไว้ในมือ เพราะหากไม่ได้ถือครองอยู่ ก็ยังสามารถเปิดชอร์ต เพื่อทำกำไรจากขาลงของตลาดได้
‘คุณดิว’ เล่าประสบการณ์จริงจากปี 2016 ตอนที่ทำเหมืองขุด Bitcoin ขณะราคายัง 2,000 ดอลลาร์ เขามีรายได้วันละหลายหมื่นบาทแต่ขายทิ้งหมด หากวันนั้นยังถือไว้ วันนี้อาจแตะ 5,000 ล้านบาท พร้อมยอมรับว่า “เราไม่มีวันรู้อนาคตได้จริงๆ”
‘ท็อป จิรายุส’ เสริมมุมมองเชิงเทคโนโลยี โดยเตือนถึงความเสี่ยงของนวัตกรรมใหม่ๆ ว่า Bitcoin อาจไม่ใช่ ‘WiFi’ ที่อยู่ตลอดไป แต่อาจเป็นแค่ ‘Facebook’ ที่วันหนึ่งจะมีสิ่งที่ดีกว่ามาแทนที่ เขาอธิบายว่าในระยะสั้นราคาคือเครื่องลงคะแนน (voting machine) ที่อาจโตเร็วกว่าคุณค่าที่แท้จริงของเครือข่าย แต่ในระยะยาว value จะตามทัน เพราะพื้นฐานของเทคโนโลยีจะพัฒนาไปเรื่อยๆ
เขายังชี้ถึงจุดอ่อนสำคัญด้านความเป็นส่วนตัวของระบบว่า ไม่มีใครอยากเปิดข้อมูลขนาดนั้น เพราะการโอน Bitcoin ให้ใครก็ตามอาจทำให้ผู้รับรู้ถึงรายได้หรือเงินเดือนของอีกฝ่ายได้ เนื่องจากระบบนี้โปร่งใสโดยดีไซน์ ซึ่งแม้จะสะท้อนหลักการเปิดเผย แต่ก็อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
[ ทฤษฎีคนส่วนน้อย คิดต่างถึงจะชนะตลาด ]
อีกหนึ่งแนวคิดที่ถูกพูดไว้และน่าสนใจคือ ‘ทฤษฎีคนส่วนน้อย’ ของ ‘พิชัย’ ปรัชญาการลงทุนที่ยอมรับความจริงว่า ความมั่งคั่งจะเป็นของคนส่วนน้อยเท่านั้น
เขาอธิบายว่า ในโลกทุนนิยม เงินมีค่าก็ต่อเมื่อมันหายาก และจุดที่อันตรายที่สุดของตลาด คือช่วงที่ทุกคนเห็นตรงกัน เพราะเมื่อเงินไหลไปกองด้านเดียว นั่นคือเวลาที่ระบบเปิดช่องให้คนส่วนน้อยชนะเกมได้ “มนุษย์มักขาดทุนจากสิ่งที่ตัวเองมั่นใจที่สุด” จึงเตือนให้นักลงทุนกล้าคิดต่าง แม้จะต้องผิดในสายตาคนส่วนใหญ่
ในท้ายที่สุด แม้แต่ละฝ่ายจะมีแนวคิดต่างสุดขั้ว แต่สิ่งที่เห็นตรงกันคือ ‘โลกการเงินกำลังเปลี่ยน’ จากยุคที่คนถือเงินสดเพื่อความมั่นคง สู่ยุคที่ ‘เข้าใจระบบ’ คือเกราะป้องกันความเสี่ยงที่แท้จริง สุดท้ายคำถามที่เหลือไว้ให้คิดคือ เราอยู่ฝั่งไหนของเกมนี้ ‘ผู้กลัวเงินเฟ้อ’ หรือ ‘ผู้เข้าใจมัน’?










