ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมวันพุธ (31 ก.ค.) ที่ผ่านมา ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ ซึ่งการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยจะ อยู่ที่ 2-2.25% ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดเงินตลาดทุนคาดการณ์ โดยในแถลงการณ์ของเฟดระบุถึงการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ว่าเป็นผลจากทิศทางของเศรษฐกิจโลก และ ระดับเงินเฟ้อภายในประเทศ พร้อมยังระบุต่อว่า มีแนวโน้มที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกในอนาคต หากมีความจำเป็น
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จะทำให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคสามารถกู้เงินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง โดยฝ่ายผู้สนับสนุนระบุว่า มาตรการนี้จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งสัญญาว่า กำลังต้องการความช่วยเหลือ ขณะที่ฝั่งผู้คัดค้าน (คณะกรรมการ 2 คน ผู้รับผิดชอบในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย) ให้ความเห็นว่า ตัวเลขการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และไม่เห็นด้วยที่ เฟด ปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เพื่อจะตามใจ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกร้องให้มีการลดดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่เฟด ระบุว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแรง กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัระดับปานกลาง แต่ในรอบ 12 เดือน อัตราเงินเฟ้อโดยรวม และ เงินเฟ้อสำหรับสินค้าต่างๆ นอกเหนือจากอาหารและ พลังงาน อยู่อัตราที่ต่ำกว่า 2% ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ เฟด ลดอัตราดอกเบี้ย ครั้งนี้
