ทุกวันนี้หลายคนมักจะเจอปัญหาว่า ‘เงินหายไปไหนหมด’ ทั้งที่เพิ่งได้เงินเดือนมาแท้ๆ ยิ่งยุคนี้รายจ่ายยิบย่อยเกิดขึ้นง่ายเพียงแค่กดมือถือไม่กี่ครั้ง ก็หมดไปกับของที่บางทีไม่ได้จำเป็นจริงๆ เลยด้วยซ้ำ
นี่คือที่มาของแนวคิด ‘Financial Cleanse’ หรือการดีท็อกซ์การเงินใน 30 วัน ที่โด่งดังใน TikTok ของ ‘ซีมา เช็ธ’(Seema Sheth) ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารกลางสหรัฐฯ ก่อนจะแพร่หลายไปทั่ว เพราะเป็นวิธีจัดระเบียบการเงินที่เข้าใจง่าย
โดยแนวคิดนี้ถูกแบ่งเป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำตามได้จริง ดังนี้
[จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย ]
การเริ่มต้นที่ดีคือการสำรวจรายได้และรายจ่ายทั้งหมด แล้วจัดออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
-ค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำไฟ
-ค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร
-ค่าใช้จ่ายตามใจ อย่างเสื้อผ้า ค่าสมาชิกสตรีมมิ่ง หรือของที่ซื้อเพราะอยากได
หลักการที่นิยมใช้กันคือกฎ 50/30/20 หรือใช้รายได้ 50% สำหรับสิ่งจำเป็น, 30% สำหรับความต้องการ และอีก 20% แยกเก็บออมไว้
[ ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น ]
การเก็บเงิน 20% สำหรับออมหรือการลงทุนอาจไม่ง่ายนัก จึงต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง วิธีทำได้ เช่น ตั้งคำถามกับทุกค่าใช้จ่ายว่า ‘ถ้าไม่มีสิ่งนี้ เราจะอยู่ได้ไหม’ หรือมองค่าใช้จ่ายนั้นในรูปเปอร์เซ็นต์ของรายได้ เพื่อเห็นผลกระทบที่แท้จริง ที่สำคัญอย่าลืมควบคุมค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น ค่าที่อยู่อาศัย ไม่ให้เกิน 30% ของรายได้
[ จัดการหนี้ ]
หนี้ดอกเบี้ยสูงอย่างบัตรเครดิตควรเคลียร์ก่อน เพราะยิ่งปล่อยไว้นานดอกเบี้ยยิ่งบาน วิธีที่นิยมใช้มีทั้ง Snowball คือเริ่มปิดหนี้เล็กเพื่อสร้างกำลังใจ) และ Avalanche คือเริ่มจากหนี้ดอกเบี้ยสูงสุดเพื่อประหยัดดอกเบี้ย) เลือกแบบที่เหมาะกับตัวเองก็ได้
ควรตั้งระบบตัดบัญชีอัตโนมัติหรือตั้งวันจ่ายบิลให้ตรงกันทุกเดือน เพื่อลดโอกาสผิดนัดชำระ และถ้ามีหนี้หลายก้อน การรีไฟแนนซ์หรือรวมหนี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยให้จัดการง่ายขึ้น
[ สร้างกองทุนฉุกเฉิน ]
กองทุนฉุกเฉินคือกันชนที่ช่วยให้ไม่สะดุดเวลาเจอเรื่องไม่คาดคิด เช่น ตกงาน เจ็บป่วย หรือรถเสีย ควรเก็บให้ได้อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ
เช่น ถ้าค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ก็ควรมีสำรอง 60,000–120,000 บาท วิธีที่ง่ายคือแยกบัญชีเฉพาะและหักเก็บทุกเดือน เพื่อให้เข้าถึงได้ทันทีเมื่อจำเป็น การมีเงินก้อนนี้ไม่เพียงป้องกันการก่อหนี้ใหม่ แต่ยังทำให้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจขึ้นด้วย
[ ตั้งเป้าหมายตามช่วงเวลา ]
เมื่อหนี้ลดลงและมีกองทุนฉุกเฉินแล้ว ขั้นต่อไปคือการวางเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ซื้อบ้าน ลงทุน หรือเกษียณ ลองแบ่งเป้าหมายเหล่านี้ออกเป็นช่วงเวลา เช่น ระยะสั้น 1–2 ปี ระยะกลาง 5 ปี และระยะยาว 10–20 ปีขึ้นไป วิธีนี้จะช่วยให้รู้ว่าแต่ละเป้าหมายต้องใช้เงินเท่าไหร่ และต้องเก็บเดือนละเท่าไรเพื่อให้ถึงจุดหมาย
เมื่อมีตัวเลขในมือจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเก็บในบัญชีออมทรัพย์เพื่อความปลอดภัย หรือเลือกลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยตามเวลาที่มี การตั้งเป้าหมายพร้อมแผนการเก็บเงินแบบนี้ไม่เพียงทำให้การเงินมีทิศทาง แต่ยังสร้างแรงจูงใจ เพราะทุกครั้งที่เงินเก็บค่อยๆ โตขึ้น ก็จะเห็นอนาคตที่ฝันไว้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เคล็ดลับเสริม นอกจากขั้นตอนหลักแล้ว ‘ซีมา เช็ธ’ ยังแนะนำเพิ่มเติม เช่น ศึกษาวิธีทำให้เครดิตสกอร์ดีขึ้น มีเพื่อนที่ไว้ใจได้ช่วยติดตามความก้าวหน้า หรือการจัดทำพินัยกรรมเพื่อความมั่นใจว่าสินทรัพย์จะถูกส่งต่อถูกที่
และสำหรับคู่รักอาจเปิดบัญชีแยกกัน และถ้าต้องการรายได้เพิ่ม อาจลองขอขึ้นเงินเดือน เปลี่ยนงาน หารายได้เสริม หรือขายของที่ไม่ได้ใช้แล้ว เป็นต้น
สุดท้ายแล้ว แม้ 30 วันอาจไม่เปลี่ยนไปทั้งหมด แต่ก็ช่วยเปลี่ยนมุมมองในการใช้เงินไปตลอด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเงินได้ลึกขึ้นพร้อมๆ ไปกับการมีวินัยที่มากขึ้นด้วย










