สถานการณ์ในกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส และหลายเมืองทั่วประเทศ ยังคงชุลมุน หลังสหภาพแรงงานนัดหยุดงานประท้วงใหญ่ บานปลายกลายเป็นความรุนแรงในหลายพื้นที่
เกิดอะไรขึ้นที่ฝรั่งเศส สำนักข่าว TODAY สรุปให้ในโพสต์นี้

ชาวฝรั่งเศสประท้วงอะไรกัน
- ผู้ประท้วงนับล้านคนออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านแผนการปฏิรูประบบบำนาญที่รัฐบาลของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง พยายามผลักดันผ่านสภา
- สาระสำคัญของแผนการปฏิรูป คือการขยายอายุเกษียณจาก 62 ปี เป็น 64 ปี และเสนอจะเพิ่มเงินบำนาญขั้นต่ำให้จากเดิม 1,000 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 37,000 บาท) เป็น 1,200 ยูโรต่อเดือน (ประมาณ 44,000 บาท)
- แต่แผนการนี้ บังคับให้คนวัยทำงานต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นจาก 41 ปี มาเป็น 43 ปี เพื่อให้ได้รับเงินบำนาญเต็มจำนวน จึงสร้างความไม่พอใจให้กับลูกจ้างและสหภาพแรงงาน
- ขณะที่รัฐบาลให้เหตุผลว่า เพราะตอนนี้ฝรั่งเศสมีผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นคงให้กับระบบบำนาญ ด้วยการยืดระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบออกไป เพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูคนวัยเกษียณ

การประท้วงเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
- การประท้วงครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 สหภาพแรงงานขนาดใหญ่ 8 แห่งของฝรั่งเศส นัดหยุดงาน แรงงานจำนวนมากออกมาชุมนุมบนถนนในกรุงปารีส รวมถึงเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
- แรงงานที่มาร่วมการประท้วงมีตั้งแต่พนักงานรัฐ คนขับรถไฟ พนักงานโรงกลั่นน้ำมัน ครู รวมถึงแรงงานภาคอื่นๆ
- สถานการณ์ในวันนั้นทำให้ถนนหลายสายโดยเฉพาะในกรุงปารีสเป็นอัมพาต โรงเรียนและหน่วยงานของรัฐหลายแห่งต้องปิดทำการชั่วคราว
- ระบบขนส่งสาธารณะได้รับผลกระทบหนัก รถไฟใต้ดินและรถไฟระหว่างเมืองยกเลิกให้บริการในหลายเส้นทาง
- กระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสเผยยอดผู้ประท้วงในตอนนั้นมีราว 1.2 ล้านคน โดยเป็นผู้ที่ออกมาประท้วงในกรุงปารีส 800,000 คน
- แต่ตัวเลขที่มีการเปิดเผยออกมาจากสหภาพแรงงาน ประมาณการว่ามีผู้เข้าร่วมการประท้วงราว 2,000,000 คนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้มี 400,000 คนชุมนุมกันอยู่ในกรุงปารีส

ต่อมาเกิดอะไรขึ้น
- การประท้วงครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มกราคมไม่เป็นผลสำเร็จ โดยประธานาธิบดีมาครงยังยืนยันว่าจะเดินหน้าแผนการปฏิรูประบบบำนาญต่อไป
- ทำให้สหภาพแรงงานนัดหยุดงานอีกครั้งในวันที่ 31 มกราคม 2566 เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดียกเลิกแผนปฏิรูปบำนาญ
- การประท้วงใหญ่ครั้งที่ 2 นี้ มีแรงงานออกมาร่วมชุมนุมตามการเปิดเผยของสหภาพแรงงานราว 2.8 ล้านคน ขณะที่มีการระบุว่า ตัวเลขจากการที่มีผู้ร่วมการประท้วง ประมาณ 1.272 ล้านคน
- ตั้งแต่นั้นมา มีการนัดหยุดงานและการประท้วงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เริ่มส่งผลกระทบต่อระบบขนส่งสาธารณะและภาคพลังงาน โดยสหภาพแรงงานหวังกดดันรัฐบาลด้วยการทำให้กระทบเศรษฐกิจ

รัฐบาลมีท่าทีอย่างไร
- ประธานาธิบดีมาครง ยังคงพยายามเดินหน้าผลักดันแผนการปฏิรูประบบบำนาญต่อไป ท่ามกลางความไม่พอใจของสหภาพแรงงานทั่วประเทศ และเสียงโต้แย้งจากฝ่ายค้าน ซึ่งให้เหตุผลว่าระบบบำนาญในตอนนี้ยังไม่ได้ขาดดุลจนจำเป็นต้องปฏิรูป
- อีกทั้งแผนการนี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากแนวร่วมรัฐบาลกลุ่มอื่นๆ ทำให้ยากต่อการผลักดันร่างกฎหมายผ่านสภา เนื่องจากพรรคของประธานาธิบดีมาครง ไม่ได้ครองเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
- ด้วยเหตุนี้ทำให้รัฐบาลตัดสินใจใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 49.3 ของรัฐธรรมนูญ ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูประบบบำนาญให้มีผลบังคับใช้ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากสภา
- ทำให้พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่ผลการลงมติเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏว่ารัฐบาลสามารถรอดจากมติไม่ไว้วางใจมาได้อย่างฉิวเฉียด

สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
- ความพยายามผลักดันกฎหมายปฏิรูประบบบำนาญของรัฐบาล ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับสหภาพแรงงาน จนการประท้วงลุกลามและทวีความรุนแรงขึ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
- มีการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับตำรวจควบคุมฝูงชน ผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มจุดไฟเผาสถานที่ราชการ ทุบทำลายอาคารห้างร้าน และสาธารณูปโภค ขณะเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม นับเป็นเหตุการณ์ประท้วงรุนแรงครั้งเลวร้ายสุดในรอบหลายปีในฝรั่งเศส
- โดยผู้ประท้วงได้พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลระงับและพิจารณาทบทวนแผนปฏิรูปบำนาญใหม่อีกครั้ง และตะโกนขับไล่ ให้ประธานาธิบดีมาครงลาออกจากตำแหน่ง
- การประท้วงที่ยังคงยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะหยุดชะงัก รถไฟและเที่ยวบินหลายเที่ยวต้องระงับการให้บริการ โรงเรียนหลายแห่งต้องหยุดการเรียนการสอน
- กรุงปารีสและอีกหลายเมืองในขณะนี้ต้องเผชิญกับปัญหาขยะล้นเมือง เนื่องจากการนัดหยุดงานของพนักงานเก็บขยะ
- ขณะที่รัฐบาลจะเริ่มมีท่าทีอ่อนลง โดยนายกรัฐมนตรี เอลิซาเบธ บอร์น ออกมาประกาศว่า จะเจรจากับฝ่ายค้านและแกนนำสหภาพแรงงาน
- แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าการประท้วงจะจบสิ้นลง สหภาพแรงงานได้กำหนดวันนัดหยุดงานประท้วงใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่ 11 ในวันที่ 6 เมษายนนี้
ที่มา CNN, The Guardian, The Washington Post, CNBC, Le Monde










