จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นับตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่ผู้คนต่างมีการเสพข่าวกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ หรือเกิดการกังวลต่อเรื่องต่างๆ นับตั้งแต่ ความกังวลเพียงเล็กน้อย ไปจนความปลอดภัยในชีวิต ที่กลัวการเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก จนอาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ในโอกาสครบรอบ 1 เดือน ของเหตุแผ่นดินไหว ที่สร้างความสูญเสียให้กับหลายครอบครัว และทำให้ผู้คนต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามกัน สำนักข่าวทูเดย์ ชวนพูดคุยกับ พญ.ทรัพย์สิดี เกิดประกอบ จิตแพทย์ จาก Me Center คลินิกสมองและสุขภาพจิต ว่าคนเราควรจะรับมือกับข่าวสารอย่างไร
[รับข่าวสารในปริมาณมาก ส่งผลต่อสมองอย่างไร?]
พญ.ทรัพย์สิดี สรุปออกมา เป็น 4 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสมอง เมื่อคนเรารับข่าวสารในปริมาณที่มาก ดังนี้
- ก่อให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล เนื่องจากข่าวสารส่วนใหญ่ มักเต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงลบ การติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะข่าวเชิงลบ อาจส่งผลให้สมองหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลิน ออกมามาก ซึ่งส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้รู้สึกเครียด วิตกกังวล หงุดหงิด นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ
- ก่อให้เกิดภาวะ Headline Stress Disorder (HSD) ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการติดตามข่าวสารเชิงลบมากจนเกินไป ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้รู้สึกเครียด วิตกกังวล กลัว หดหู่ สิ้นหวัง รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรดี
- ก่อให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า การเสพข่าวเชิงลบ โดยเฉพาะข่าวร้าย ข่าวภัยพิบัติ ข่าวโศกนาฏกรรม เป็นเวลานาน อาจส่งผลให้สมองหลั่งสารเคมี เช่น เซโรโทนิน โดปามีน นอร์อิพิเนฟริน ลดลง ส่งผลต่ออารมณ์ ทำให้รู้สึกเศร้า ซึมเศร้า สิ้นหวัง เบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไร
- ทำให้มองโลกในแง่ร้าย การเสพข่าวเชิงลบบ่อย ๆ อาจส่งผลต่อความคิด ทำให้มองโลกในแง่ร้าย คิดแต่เรื่องแย่ ๆ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในอนาคต
แล้วเท่าไหร่ ถึงจะเรียกว่าเสพข่าวสารมากเกินไปแล้ว? พญ.ทรัพย์สิดี กล่าวว่า การติดตามข่าวสารอย่างมีสติ และเหมาะสมนับเป็นเรื่องสำคัญ โดยตามคำแนะนำของจิตแพทย์ 1 ถึง 2 ชั่วโมงต่อวัน อาจเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะ เพราะการที่เราใช้ความคิดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ก่อให้เกิดความเครียดมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
[ตัดใจไม่ดูไม่ได้ แล้วจะให้ทำยังไง?]
ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ พญ.ทรัพย์สิดี จึงแนะนำวิธีเลือกรับจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะพาดหัวที่ใช้คำกระตุ้นอารมณ์ ก็อาจเป็นตัวกระตุ้นแรก ดังนั้น การไม่มองข้ามรายละเอียดของข่าว รวมถึงอ่านเนื้อหาจากทางรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ แหล่งข่าวเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือประกอบด้วย ก็อาจช่วยลดทอนผลกระทบทางใจได้ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ดี หากรับรู้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจแล้ว พญ.ทรัพย์สิดี ก็แนะนำวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น คือ
- หากิจกรรมผ่อนคลายที่เหมาะสมต่อสภาพร่างกายและจิตใจในรูปแบบอื่น นอกจากการเสพข่าว หรือ เล่น social media ซึ่งกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ทำสมาธิ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การฝึกหายใจคลายเครียด เป็นต้น
- ดูแลจิตใจอย่างมีสติ การเสพข่าวอย่างมีสติ รู้เท่าทันความคิด อารมณ์ ความคาดหวัง จะช่วยให้ไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเกินไป
- พยายามทำกิจวัตรประจำวันให้เป็นปกติ หันเหความสนใจจากข่าวสารไปเรื่องอื่นบ้าง ละเว้นการรับรู้ข่าวสารที่ส่งผลต่อความเครียดชั่วคราว ไม่ละเลยหน้าที่ของตนเอง ทั้งการทำงาน การเรียน และการใช้เวลาที่มีคุณภาพกับครอบครัว
หากทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา
และอย่างที่รู้กันดี เรื่องเดียวกันก็อาจกระทบใจคนในระดับที่ต่างกันไป ดังนั้น หากทำตามคำแนะนำข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น อย่ามองข้ามสัญญาณเหล่านั้น ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยา ได้เลย










