ใครที่กำลังลงทุนหุ้นต่างประเทศอยู่ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ น่าจะยิ้มแก้มปริอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นยังคงโตร้อนแรงต่อเนื่อง
ทั้งดัชนี S&P 500 ตัวแทนหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น +13.56% และ Nadaq 100 ตัวแทนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่กระโดด +17.40%
อย่างไรก็ตาม หากใครไม่ได้เตรียมบริหารภาษีลงทุนไว้ตั้งแต่ตอนนี้ อาจโดนภาษีจัดหนักแบบไม่รู้ตัว
คนที่ลงทุนควรทำอย่างไร เพื่อให้เสียภาษีลงทุนต่างประเทศน้อยลง TODAYBizview จะสรุปแบบเข้าใจง่าย ๆ ให้ฟัง
ปัจจุบันคนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ จะถูกเก็บภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดา
โดยส่วนที่นำมาคิดภาษีแต่ละปี จะคิดจากกำไรจากการขายหุ้นหรือเงินปันผล ที่แปลงเป็นบาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่เราแลกกลับมา
เช่น หากวันที่ 18 ก.ย. 2568 เรานำกำไรจากการขายหุ้นจำนวน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ แลกเป็นเงินบาท
เงินที่เอามาคำนวณภาษี = อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น x กำไร = 31.9 x 1,000 = 31,900 บาท
เมื่อได้กำไรที่นำมาคิดภาษีแล้ว จะเอามารวมกับรายได้ของเรา เช่น เงินเดือน ค่าจ้างต่าง ๆ โบนัส ที่หักค่าใช้จ่ายแล้ว มาหักกับค่าลดหย่อนต่าง ๆ อีกที เพื่อคิดเงินได้สุทธิ
ซึ่งจะเสียภาษีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับฐานภาษีส่วนบุคคลของแต่ละคน
-
-
-
- เงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก ไม่เสียภาษี
- เงินได้สุทธิ 150,000 – 300,000 บาท เสียภาษี 5%
- เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท เสียภาษี 10%
- เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท เสียภาษี 15%
- เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท เสียภาษี 20%
- เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท เสียภาษี 25%
- เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท เสียภาษี 30%
- เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษี 35%
-
-
จะเห็นได้ว่า ยิ่งเรามีรายได้มาก กำไรที่ได้จากการลงทุนยิ่งเสียภาษีมากตาม
ถ้าถามว่า มันส่งผลต่อกำไรมากน้อยแค่ไหน นึกภาพง่าย ๆ ว่า ลงทุนได้กำไร 100 บาท แล้วฐานภาษีเราสูง อาจโดนหักภาษีถึง 20 – 35 บาท นับว่ากระทบต่อกำไรไม่น้อยเลย
แล้วต้องบริหารภาษีลงทุนต่างประเทศอย่างไร ให้กัดกินผลตอบแทนน้อยที่สุด หากไม่นับกรณีที่ไม่อยู่ในไทยเกิน 180 วัน
- ไม่นำเงินลงทุนกลับเข้าไทย หรือแลกเป็นเงินบาท
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลลัพธ์ดี เพราะภาษีลงทุนต่างประเทศจะนับเฉพาะกำไรที่แลกกลับมาไทยเท่านั้น
หมายความว่า ต่อให้เราได้กำไรเป็นแสนเป็นล้าน หากไม่ได้แลกกลับมาไทย ภาษีที่เสียเท่ากับ 0 อยู่ดี
หรือถ้าราคาหุ้นที่เราถืออยู่ในจุดที่สูงแล้ว เราสามารถขายแล้ว ไปซื้อหุ้นตัวอื่นก็ได้เช่นกัน วิธีนี้ก็ไม่เสียภาษี
ทั้งนี้คนจำนวนไม่น้อยน่าจะเผลอแลกกลับมาบ้างแล้ว นั่นนำไปสู่วิธีต่อ ๆ ไป
- บันทึกต้นทุน ที่เอื้อต่อการบริหารภาษี
การบันทึกกำไรต้นทุนจากการซื้อขายหุ้น สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Average Cost, FIFO, จนถึง LIFO ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีที่แตกต่างกัน เช่น
-
-
-
- Average Cost วิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบเฉลี่ยทั้งหมด มีข้อดีตรงที่คำนวณง่าย เห็นภาพรวมกำไร-ต้นทุนได้ชัด เพราะต้นทุนหุ้นเท่ากันทุกก้อน
- FIFO วิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบเข้าก่อนออกก่อน เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาลดลงเรื่อย ๆ เพราะเมื่อราคาหุ้นกลับตัวแล้วทยอยขาย ต้นทุนที่นำมาคิดในช่วงแรกจะสูง ทำให้เสียภาษีน้อยลง
- LIFO วิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบเข้าหลังออกก่อน เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และหากทยอยขยาย จะเสียภาษีน้อยลงกว่า FIFO เพราะนำต้นทุนก้อนหลัง ที่ราคาสูงมาคิดก่อน
-
-
เพื่อให้เห็นภาพชัด ขอยกตัวอย่างประกอบ
สมมติว่า
-
-
-
- วันที่ 1 ม.ค. 2568 ซื้อหุ้น A จำนวน 100 หุ้น ที่ราคา 100 ดอลลาร์สหรัฐ
- วันที่ 10 เม.ย. 2568 ซื้อหุ้น A เพิ่มจำนวน 100 หุ้น ที่ราคา 120 ดอลลาร์สหรัฐ
- วันที่ 15 ส.ค. 2568 ขายหุ้น A จำนวน 100 หุ้น ที่ราคา 140 ดอลลาร์สหรัฐ
-
-
วิธี FIFO จะมีต้นทุน = 100 x 100 = 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่วิธี LIFO จะมีต้นทุน = 120 x 100 = 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ตรงนี้เห็นได้เลยว่า ต่อให้ซื้อขายหุ้นเหมือนกัน แต่อาจเสียภาษีไม่เท่ากัน เพราะหากใช้วิธีการบันทึกต้นทุนคนละแบบ
ทั้งนี้กรมสรรพากรอนุญาตให้เราสามารถใช้วิธีบันทึกต้นทุนแบบไหนก็ได้จริง เพียงแต่ต้องใช้วิธีนั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงไป
3.นำเงินต้นกลับมาไทย
ซึ่งกรมสรรพากรได้ตอบคำถามว่า ถ้ามีการลงทุนเพิ่มทุก ๆ ปี โดยระหว่างนั้นมีการนําเงินกลับมาในประเทศไทยเป็นบางส่วน จะคํานวณ เงินที่นํากลับเข้ามาเป็นเงินต้น หรือส่วนของกําไร อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเรา
โดยเราต้องมีหน้าที่ประเมินตนเองตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า เงินที่นําเข้ามานั้นเป็น ส่วนของเงินได้พึงประเมิน หรือส่วนของเงินลงทุน
นั่นหมายความว่า เราสามารถแจ้งว่า เงินที่นำกลับมาไทยเป็นเงินต้นก็ได้ ไม่ใช่กำไร เพียงแต่ต้องประเมินตนเองตามข้อเท็จจริง พร้อมเตรียมเอกสารประกอบต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นหลักฐาน
และทั้งหมดนี้ก็คือตัวอย่างวิธีรับมือกับภาษีลงทุนต่างประเทศ ที่คนลงทุนหุ้นนอกแล้วมีกำไร ควรรู้
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันอย่างภาษี หัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผลของหุ้นต่างประเทศ จริง ๆ แล้วเราสามารถนำมาเครดิตกับภาษีที่ต้องเสียในประเทศไทยได้ ดังนั้นอย่าลืมใช้สิทธิหากเราโดนหักภาษีไปแล้ว
ที่มา










