ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ‘ทองคำ’ กลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนพูดถึงไม่เว้นแต่ละวัน ราคาที่ไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกครั้งที่มีข่าวเศรษฐกิจโลกหรือทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลง เสียงสะท้อนก็มักย้อนกลับมาที่คำถามเดียวกันว่าแล้วราคาทองจะไปต่อได้แค่ไหน?
และเมื่อมองย้อนกลับไปที่การเคลื่อนไหวจริงตลอดปี จะเห็นว่าทองคำไม่ได้ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำสถิติสูงสุดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักต้องปรับคาดการณ์กันใหม่ รวมถึง ‘ฮั่วเซ่งเฮง’ ด้วย
โดย ‘ธนรัชต์ พสวงศ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เล่าถึงภาพรวมสถานการณ์ราคาทองคำในปีนี้ว่าได้ทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้ง โดยตั้งแต่ต้นปีทองคำขึ้นแรงเกินคาด จากเดิมที่เคยประเมินไว้ต่ำกว่า 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ช่วงกลางปีได้ขยับไปแตะเกือบ 3,600 ดอลลาร์/ออนซ์แล้ว และล่าสุดก็ปรับคาดการณ์สิ้นปีไว้สูงถึง 3,780 ดอลลาร์/ออนซ์
[ สิ้นปี อาจแตะ 56,000 บาท ]
สำหรับในครึ่งหลังของปีนี้ราคาจะยังคงขยับขึ้นต่อเนื่อง นักวิเคราะห์จาก ‘ฮั่วเซ่งเฮง’ ได้ปรับคาดการณ์สิ้นปีขึ้นไปที่ 3,780 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือราว 56,000 บาทต่อบาททองคำ สูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าอย่างมากโดยปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาต่อมาจากหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็น
การขยับขึ้นของราคาทองคำครั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัยผสมกัน โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่มีแนวโน้มลดลงเพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อดอกเบี้ยต่ำลง เงินดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนย่อมหันหาสินทรัพย์ปลอดภัยซึ่งทองคำตอบโจทย์ที่สุด
ขณะเดียวกัน ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่ไม่แข็งแรงยิ่งย้ำความเชื่อนี้และเมื่อนำมารวมกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ก็ยิ่งทำให้ทองคำถูกมองว่าเป็นที่พักเงินที่มั่นคง
ด้านแรงซื้อที่หนุนราคาทองคำยังมาจาก ธนาคารกลางทั่วโลก ที่เร่งสะสมทองคำสำรองเพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ามีการซื้อทองคำเข้าคลังต่อเนื่อง และเมื่อบวกกับกองทุน ETF ที่กลับมาซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบหลายปี
ทำให้ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้มีการซื้อรวมกว่า 420 ตัน และทั้งปีอาจแตะ 700 ตันได้ สะท้อนว่าทองคำไม่ได้ถูกมองเพียงเป็นเครื่องมือเก็งกำไร แต่เป็นสินทรัพย์หลักเพื่อสร้างเสถียรภาพ
ในฝั่งของไทย ความต้องการทองคำก็ยังร้อนแรง โดยเฉพาะ ทองคำแท่งและเหรียญ ที่ปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 25–38% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนทองรูปพรรณกลับลดลงเพราะราคาที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเลือกสะสมทองแท่งเพื่อการลงทุนมากกว่า พฤติกรรมนี้สอดคล้องกับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เน้นเก็บสินทรัพย์ที่ตรวจสอบมูลค่าได้ง่ายและแปลงเป็นเงินสดได้ทันที
[ กลยุทธ์ลงทุนทองคำ ]
การลงทุนทองคำในยุคนี้ไม่ได้มีแค่การซื้อทองแท่งเก็บไว้ที่บ้านอีกแล้ว นักลงทุนมีหลายทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวมากขึ้นตามสไตล์ของตัวเอง
นักลงทุนสายสั้น : สามารถใช้บัญชีทองคำสกุลดอลลาร์ (FCD) ซื้อ–ขายเก็งกำไรได้ทันที ลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นักลงทุนระยะยาว : เหมาะกับการสะสมทองคำแท่งหรือเหรียญจริง เพื่อเก็บเป็นทรัพย์สินระยะยาวและเป็นหลักประกันทางการเงิ
นักลงทุนรายย่อย : เลือกออมทองผ่านระบบออนไลน์ ค่อยๆ ทยอยสะสมทีละเล็กทีละน้อย และเลือกแพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือ มีระบบยืนยันตัวตน (KYC) และมีร้านจริงรองรับ
[ ดันไทยเป็นศูนย์กลางทองคำอาเซียน ]
‘ฮั่วเซ่งเฮง’ ซึ่งถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดทองคำไทย ซึ่งนอกจากบทบาทในฐานะผู้นำตลาดแล้วก็ยังวางแผนผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางการค้าทองคำของอาเซียน ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่
1.ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม : ร่วมกับสมาคมค้าทองคำจัดตั้ง Self-Regulated Organization (SRO) เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์การซื้อขายทองออนไลน์ เช่น การยืนยันตัวตนลูกค้า การตรวจสอบบัญชี และทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
2.พัฒนาโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน : เพื่อให้ไทยกลายเป็นจุดเชื่อมโยงทองคำในภูมิภาคทั้งการนำเข้า–ส่งออก
3.พัฒนาเทคโนโลยีและฝีมือแรงงาน : ทั้งระบบแพลตฟอร์มออนไลน์ที่โปร่งใส และการพัฒนาช่างทองไทยให้มีฝีมือแข่งขันได้ในตลาดโล
ซึ่งหากสามารถดันไทยเป็นศูนย์กลางทองคำอาเซียนได้สำเร็จ ไทยจะไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ แต่ยังสามารถเป็น ‘ฮับทองคำ’ ของอาเซียนในอนาคต
ดังนั้น ในวันที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทองคำก็ยังคงยืนอยู่ในฐานะสินทรัพย์ที่สร้างความมั่นใจได้เสมอ ไม่ว่าจะถูกมองว่าเป็นการลงทุนหรือการออม มันก็ยังเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่า










