สองสามปีที่ผ่านมาเราอาจจะเห็นขาขึ้นและขาลงบ้างของสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง Walt Disney Studios แต่สองปีนี้ชัดเจนแล้วว่า ‘ดิสนีย์กลับมาแล้ว’ กับการคว้าตำแหน่งสตูดิโอแรกและสตูดิโอเดียวที่ทำรายได้ทะลุ 6 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกในปี 2025 อย่างเป็นทางการ
โดยจาก 6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็นรายได้จากสหรัฐอเมริกา 2.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาสตูดิโอภาพยนตร์รายใหญ่ทั้งหมดในสหรัฐฯ ณ เวลานี้ และรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 3.65 พันล้านดอลลาร์
ปีนี้ Walt Disney Studios มีผลงานที่เข้าฉายในวงกว้างทั้งหมด 16 เรื่อง และในจำนวนนั้น ก็มีผลงานที่ทำรายได้โดดเด่นอย่าง ‘Avatar: Fire & Ash’ ที่กวาดไปแล้ว 450 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ ถึงสองเรื่อง ได้แก่ Zootopia 2 (รายได้ปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์) และ Lilo & Stitch (1.038 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นภาพยนตร์เพียงแค่สองเรื่องในบรรดาภาพยนตร์ของ MPA (Motion Pictures Association) ที่ทำรายได้ถึงหลักนี้
และแน่นอนว่าหนึ่งในตลาดที่ตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) รวมไปถึงประเทศไทย สำนักข่าว TODAY ได้สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟกับ Rachel Fong – Executive Director & Studio General Manager South East Asia และ Samantha Kundus – Corporate Communications Lead – Southeast Asia จาก The Walt Disney Company,Southeast Asia ถึงทิศทางในอนาคต การขยายตัว และการจับใจผู้ชมชาวไทยที่ไม่เหมือนชาติไหนในวันที่ผู้ชมมีทางเลือกที่จะรอดูภาพยนตร์ทางสตรีมิ่ง
เลือกนักพากย์ให้ปัง พากย์ไทยกลยุทธ์สำคัญครองใจผู้ชมท้องถิ่น
เมื่อถามว่าอะไรที่ทำให้ผู้ชมในไทยโดดเด่นและแตกต่าง Samantha ตอบว่า ‘คนไทยชอบตุ๊กตา’
“อินไซต์หนึ่งที่ทีมไทยแชร์กับฉันคือ ผู้ชมไทยชอบตุ๊กตานุ่มๆ (Soft Toys) มาก ตอนเราปล่อย Zootopia ของแจกสื่อชิ้นหนึ่งคือตุ๊กตานุ่มที่มาจากไลน์สินค้าใหม่ และคุณจะเห็นเทรนด์นี้ต่อเนื่องถึงวันนี้ กับ Labubu และ Monchichi ที่ยึดพื้นที่ในห้างทั่วประเทศไทย นี่เป็นจุดที่น่าสนใจมากสำหรับเราในฐานะบริษัทนะคะ เพราะเราเป็นหนึ่งในบริษัท Consumer Products ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย”
ด้าน Rachel ก็เล่าว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับภาพยนตร์พากย์เสียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยเป็นตลาดภาพยนตร์เสียงพากย์ที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นกลยุทธ์ด้านภาพยนตร์เสียงพากย์ของที่นี่จะแข็งแรงที่สุดเช่นกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสองปีหลัง เราทำให้มันไปอีกระดับในแง่การ engage กับดาราพากย์และกิจกรรมที่เราทำร่วมกับเขา มีทั้ง การถ่ายแฟชั่นเซ็ต แฟชั่นโชว์ อย่างที่คุณเห็นกับ Snow White ปีที่แล้ว ซึ่งพูดตรง ๆ สร้างกระแสระดับโลก มีสื่อและผู้ชมข้างนอกเอเชียพูดถึงว่าทีมนักพากย์ไทยแมตช์กับตัวละครได้เพอร์เฟกต์มากๆ”
สำหรับการคัดเลือกนักแสดงพากย์ที่เป็นประเด็นที่สร้างทั้งเสียงชื่นชมและคำวิจารณ์เสมอในหมู่ผู้ชมชาวไทย Rachel เผยว่า คุณภาพต้องมาก่อนเสมอ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดังหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าการนำคนดังมาร่วมพากย์จะมีส่วยช่วยในการโปรโมตอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่การคัดเลือกก็ยังต้องเข้มข้น โดยการคัดเลือกนักพากย์นั้นจะผ่านทีมมืออาชีพ ที่คอยควบคุมการออดิชั่นและควบคุมคุณภาพ เพื่อทำให้เวอร์ชั่นพากย์ไทยนั้นทรงคุณค่าและมีความหมาย
“เราทำงานกับณเดชน์ปีที่แล้วสำหรับ Mufasa และล่าสุดสำหรับ Zootopia เราก็ร่วมงานกับดารานักพากย์ 7 คน พวกเขาไม่ได้ถูกเลือกแค่เพื่อทำให้ภาพยนตร์ดังขึ้น แต่เพราะว่าเหมาะกับตัวละครที่เขาพากย์อย่างมีความหมาย และคนที่เคยพากย์เรื่องสำคัญของเรามาก่อน หลายคนก็กลายมาเป็นเหมือน Disney Alumni ซึ่งทำให้พวกเขามีความหมายมากขึ้นอีกชั้นหนึ่งค่ะ เราเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากแนวทางนี้ อย่างรายได้ของเวอร์ชั่นพากย์ไทยในบ็อกซ์ออฟฟิศรวมของ Zootopia ก็ดีขึ้นด้วยค่ะ ฉะนั้นพากย์ไทยเป็นสิ่งที่เราจริงจังด้วยอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้การใส่มุกที่มีความเฉพาะกับผู้ชมแต่ละที่ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญเช่นกัน อย่างที่ผู้ชมหลายคนจะได้เห็นล่าสุดกับ Zootopia 2 และ Rachel ยืนยันว่าพวกเขากำลังใช้การพากย์เป็นหนึ่งในวิธีที่จะ Localize อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เธอยืนยันว่า สิ่งที่ยังสำคัญในทุกทางเลือกการ Localize คือการแน่ใจว่าทุกอย่างจะยังเชื่อมโยงกลับไปสู่หัวใจของความเป็นดิสนีย์คือ ‘การเล่าเรื่อง’ ให้เข้าไปในใจคนไม่ว่าเขาจะเป็นใครอายุเท่าไหร่ หรืออยู่จุดไหนของชีวิต
“ฉันคิดว่าบริษัทของเราให้ความสำคัญและใส่ใจกับการ Localize มาก นี่เป็นสิ่งที่ Bob Iger เน้นย้ำเสมอ และเขาพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่ในแง่ว่าเราควรจะ Localize แบบไหน หรือทำยังไงให้เรารักษา Global Voice ของเรายังไง แต่ในแง่ว่า เราจะทำยังไงให้ไม่ตกขบวนในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ต้องการจะสื่อ หลักๆ ก็คือเราไม่ควรจะเปลี่ยนสิ่งที่เราเป็นเร็วเกินไป เพียงเพื่อที่จะสนองความต้องการหรือย้ายไปที่แพลตฟอร์มใหม่ แต่เราควรจะยึดมั่นกับแก่นแท้ของเราก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ภูมิภาค SEA ผู้ชมอายุน้อย ใช้โทรศัพท์หนัก
จุดเด่นอีกอย่างของทั้งประเทศไทยและภูมิภาค SEA คือผู้ชมที่อายุน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและเวียดนาม และความเป็น Digital First เพราะมีผู้ชมมากมายที่เสพคอนเทนต์บนสมาร์ตโฟน ซึ่งทำให้รสนิยมของผู้ชมในภูมิภาค SEA เปลี่ยนเร็วตามเทรนด์ และได้รับอิทธิพลจากข่าวและสิ่งที่เสพอย่างมาก รวมถึงข่าวและสื่อจากประเทศอื่นด้วย
แต่ความแตกต่างในประเทศไทยคืออิทธิพลของ KOL (Key Opinion Leader) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการตลาดในประเทศไทย
“ฉันคิดว่านี่คือหนึ่งในความต่างที่ใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทยคือ KOLs ยังมีบทบาทมากสำหรับผู้บริโภค เพราะพวกเขาอยากฟังว่าคนอื่นพูดอะไร ไม่ใช่แค่จากสื่อกระแสหลักเท่านั้น เขาอยากฟังจาก Key Opinion Leaders ซึ่ง KOLs เป็นส่วนสำคัญมากของการตลาดของเราทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยิ่งชัดมากในไทย จะเห็นได้จากวิธีที่เราทำการตลาดหนังของเรา เราทำงานใกล้ชิดกับ KOLs และคนดังท้องถิ่นในวิธีที่เฉพาะและมีความหมาย ไม่ใช่แค่เชิญมาดูรอบ แต่ engage ลึกกว่านั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเห็นว่าผู้บริโภคกำลังมองหา”
นอกจากนี้ Samantha Kundus ยังเสริมว่าพลังแฟนด้อมที่มีอยู่มหาศาลในภูมิภาคเป็นส่วนสำคัญมากในการทำการตลาด เพราะผู้ชมใน SEA เป็นแฟนคลับที่มีแพชชั่นล้นเหลือ ซึ่งส่งผลดีกับ Ecosystem ของดิสนีย์ที่ครอบคลุมหลายช่องทาง
ภาพยนตร์ฉายโรง Disney+ และ Disney Parks สิ่งสำคัญที่ขาดกันไม่ได้ในระบบนิเวศดิสนีย์
หากเข้าเว็บไซต์ของดิสนีย์เราจะเห็นได้ว่าข้างบนมี 3 แท็บให้เลือกคือ Disney+, Film และ Parks และปีนี้ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งในห้างสรรพสินค้าในไทย ภาพยนตร์และผลงานที่เข้าฉายในภูมิภาค รวมไปถึงเครื่องเล่นและการตกแต่งในสวนสนุก ก็สะท้อนให้เห็น Ecosystem และระบบนิเวศของดิสนีย์ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนแนวคิดของบริษัท และความโดดเด่นของดิสนีย์ได้เป็นอย่างดี
“เราทำงานกันคนละทีมในบริษัท แต่ก็มีการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และนี่คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสตูดิโออื่น เพราะเวลาที่เราปล่อยหนังหนึ่งเรื่อง มันไม่ได้เป็นแค่ความพยายามของเราคนเดียว แต่ ทีม Consumer Products ก็ทำงานหนักมากในฝั่งของเขา”
Rachel ยกตัวอย่าง Zootopia ที่มีทั้งการจัดดิสเพลย์ตามห้างสรรพสินค้า และที่ Shanghai Disneyland กับโซน Zootopia ซึ่งจะมีการทำงานกับทีม Parks Experience เพื่อนำสื่อและอินฟลูเอนเซอร์ในภูมิภาคนี้ไปสร้างคอนเทนต์ ให้เกิดวงจรการทำงานที่สนับสนุนทุกผลงานอย่างเต็มระบบ เพื่อสร้างผลที่อิมแพคกับผู้ชมให้มากที่สุดเมื่อนำทุกอย่างมารวมกัน

ซึ่งนี่ทำให้การวางแผนงานที่ Disney เริ่มเร็วเป็นพิเศษถึง 1 ปีล่วงหน้า และแม้ว่าปลายปีนี้พวกเขาจะยุ่งกับ Avatar: Fire and Ash พวกเขาก็เริ่มพูดกับ ทีม Consumer Products และทีม Parks เรื่อง Toy Story 5, Moana ไลฟ์แอ็กชัน หรือแม้กระทั่ง Avengers แล้ว
“เราจำเป็นต้องสร้างและวางแผนว่า ‘Milestone’ มันควรเป็นยังไงจนถึงวันเข้าฉาย ที่ Disney เราจะต้องเริ่มล่วงหน้า 12 เดือน เพราะทีม Consumer Products เขาวางแผนล่วงหน้าเยอะมาก ผู้รับไลเซนส์และทุกคนก็ต้องเริ่มผลิตสินค้า เริ่มสร้างไลน์ใหม่ อย่างเช่นสำหรับ Toy Story พวกเขาต้องเริ่มงานโดยเร็ว ดังนั้นสำหรับเรา การรู้ว่าแผนของเขาคืออะไร และการสร้างทุกอย่างไปด้วยกันตั้งแต่แรก มันจะสร้างความต่างอย่างมากจากมุมมองผู้บริโภค ประสบการณ์มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยค่ะ”
ดึงคนให้มาดูหนังดิสนีย์ในโรงอย่างไร ในยุคที่ดูอยู่บ้านก็ได้
แม้ว่าสุดท้าย Walt Disney Studios และ Disney+ จะอยู่ในเครือเดียวกัน และหลายคนจะเข้าใจว่ารายได้จะเป็นเข้ากระเป๋าซ้ายไม่ก็กระเป๋าขวา แต่การต่อสู้เพื่อดึงผู้ชมเข้ามาชมภาพยนตร์ในโรงก็ยังเป็นการบ้านใหญ่ของ Walt Disney Studios ที่จะทำให้การชมภาพยนตร์ในโรงยังพิเศษอยู่เสมอ
“คู่แข่งของเราตอนนี้ ไม่ใช่แค่สตรีมมิ่ง แต่มันคือการแย่งความสนใจและแย่งเวลาของผู้บริโภค สุดท้ายแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญมากสำหรับประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์คือ ทีมที่ทำงานกับมันต้องจำไว้เสมอว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘หนัง’ เท่านั้น มันเกี่ยวกับประสบการณ์ที่คุณจะได้รับร่วมกับคนที่คุณรัก หรือแม้แต่ว่าคุณจะมาคนเดียว ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราคิดเสมอและเราอยากให้ผู้ชมได้สัมผัสเวลาเราสร้างแคมเปญโปรโมต หรืออีเวนท์อะไรออกมาค่ะ”
ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในแคมเปญชมภาพยนตร์กับตุ๊กตาตัวละคร อีเวนท์ดูหนังกับศิลปินที่ชื่นชอบ อีเวนท์ และ Activation ต่างๆ ที่ภาพยนตร์ของ Walt Disney Studio มีมาเสิร์ฟผู้ชมในระยะหลัง เพราะนอกจากคนจะออกจากบ้านยากขึ้นแล้ว ภาพยนตร์โลคัลยังแข็งแรงขึ้นด้วย
‘อีกอย่างที่ชัดมาก โดยเฉพาะในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ในบางมุม หรือทุกตลาดยกเว้นสิงคโปร์ คือหนังท้องถิ่นแข็งแกร่งขึ้น เพราะช่วง COVID มีช่วงหนึ่งที่แทบไม่มีหนังฮอลลีวูดเข้าฉาย ทำให้มีพื้นที่ให้สตูดิโอท้องถิ่นและโปรดักชันท้องถิ่นเข้ามาเติมเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องดีมากต่ออุตสาหกรรม และสิ่งที่ตามมาคือผู้บริโภครู้สึกว่าเขามี “ตัวเลือก” และเขาเริ่มสนุกกับหนังท้องถิ่นในอีกแบบหนึ่ง’
อย่างไรก็ตาม Rachel มองว่าการเติบโตของภาพยนตร์ท้องถิ่นเป็นเรื่องดีเพราะสร้างนิสัยให้ผู้ชมยังคงมองหาเรื่อยๆ ว่าจะดูเรื่องอะไรต่อดี
ทิศทางในอนาคตของ Walt Disney Studios และการรักษาแชมป์
สังเกตได้ว่าในช่วงสองสามปีมานี้ Walt Disney Studios หันกลับมาสู่การนำผลงานและแฟรนไชส์ที่ผู้ชมรัก กลับมาสู่หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นรีเมค ไลฟ์แอคชั่น หรือว่ารีบูท Rachel ได้คอนเฟิร์มว่านี่คือกลยุทธ์และทิศทางที่ดิสนีย์จะเดินหน้าไปต่อจากนี้
“ฉันคิดว่าการต่อยอดจากแบรนด์ของเราและตัวละครที่คนรัก เป็นกลยุทธ์ของ Disney มาโดยตลอดนะคะ เราเป็นสตูดิโอเดียวที่ โฟกัสกับการสร้างตัวละครและแบรนด์ของเราอย่างแท้จริงมาตลอดหลายปี และสะท้อนอยู่ในภาพยนตร์ทุกเรื่อง ดังนั้นแน่นอนว่าในฐานะสตูดิโอ นี่คือกลยุทธ์ของเรา”
ภายใต้ความคาดหวังระดับโลกและผู้ชมที่หลากหลาย หลักการที่ Rachel ยึดถืออยู่เสมอคือ ‘ลูกค้าต้องมาก่อน’ และการฟังว่าคนดูต้องการอะไร มองหาอะไร และปรับตัวไปตามนั้น เพื่อส่งคอนเทนต์ที่ ‘ทันเวลา’ และ ‘เชื่อมโยงได้’ สำหรับผู้ชม โดยไม่ลืม Core Value ของดิสนีย์ไปด้วย
การฟังเสียงของผู้ชมก็สะท้อนให้เห็นผ่านการตอบรับที่ดีของภาพยนตร์ โดยนอกจากจะเป็นสตูดิโอแรกและสตูดิโอเดียวที่ทำรายได้ทะลุ 6 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกในปี 2025 อย่างเป็นทางการ แล้ว Walt Disney Studio ยังได้ขึ้นแท่นเป็น MPA Studio of the Year อันดับหนึ่งในปี 2025 โดยได้ตำแหน่งนี้ติดต่อกันเป็นปีที่ 2
“จริง ๆ แล้ว Disney เป็นสตูดิโออันดับหนึ่งของ MPA มาตั้งแต่ปี 2016 แต่มีแค่ 2023 ปีเดียวที่เราเป็นอันดับสอง และเราตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าจะทำต่อไป และไม่ให้ใครมาชิงตำแหน่งไปได้ การเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องสิบปีมันบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เรามอบให้ผู้บริโภค และมองจากจุดนี้ไปในปีข้างหน้า เรามีไลน์อัพที่แข็งแรงมาก และเราจะปิดท้ายปีด้วย Avengers: Doomsday
สุดท้ายแล้ว วิธีของเราจะยังยึดมั่นในสิ่งผู้บริโภคต้องการ และซื่อสัตย์ต่อแก่นแท้ของเราต่อไป โชคดีที่ในฐานะสตูดิโอ เราได้ทำงานกับ ‘โปรดักต์’ ที่แข็งแรง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวโปรดักต์เสมอ เพื่อที่จะสร้างเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา เราได้ทุ่มเททั้งความพยายามและทรัพยากรมากมายลงไป ไม่ใช่เพียงเพื่อปล่อยแฟรนไชส์ใหม่เพื่อการค้า แต่นักสร้างภาพยนตร์ของเราทุ่มเทเพื่อสร้างเรื่องราวที่มีความหมายกับผู้ชม และนี่คือสิ่งที่เราจะให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
ในระดับภูมิภาค เป้าหมายของเราคือการซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราเป็น ในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับผู้ชม ไม่ว่าจะผ่านการสร้างประสบการณ์ การปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น หรือการใช้แพลตฟอร์มล่าสุดอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเข้าถึงผู้ชมในรูปแบบที่น่าสนใจ
นี่คือหนึ่งในเสาหลักสำคัญของพวกเราในฐานะทีมที่เราจะยืดมั่นต่อไปในอนาคต และเมื่อเรากำลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ เราจะมองภาพยนตร์ของเราด้วยวิสัยทัศน์ที่จะสร้างนิเวศที่กว้างขึ้นข้ามสายธุรกิจต่างๆ และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคในวิธีที่มีความหมายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ’

ภาพยนตร์ที่เตรียมเข้าฉายและวันที่ที่คาดว่าเข้าโรงในปี 2026 จาก Walt Disney Studios ได้แก่
- Hoppers | 6 มีนาคม 2026
แอนิเมชั่นจาก Pixar เล่าเรื่องของ Mabel เด็กสาววัย 19 ปีผู้รักสัตว์ ที่ใช้เทคโนโลยีถ่ายโอนจิตสำนึกของเธอไปอยู่ในร่างบีเวอร์หุ่นยนต์ เพื่อไขปริศนาในโลกของสัตว์ที่เหนือจินตนาการ - Star Wars: The Mandalorian and Grogu | 22 พฤษภาคม 2026
แมนดาโลเรียน ดิน จาริน และ โกรกู ออกเดินทางสู่การผจญภัยครั้งใหม่อันน่าตื่นเต้นในจักรวาล Star Wars - Toy Story 5 | 19 มิถุนายน 2026
วู้ดดี้ บัซ เจสซี และผองเพื่อนต้องเจอกับบททดสอบใหม่ เมื่อโลกของการเล่นไม่ได้มีแค่ของเล่นอีกต่อไป มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่างไป - Moana | 10 กรกฎาคม 2026
Live Action ของโมอานา สาวน้อยที่ทะเลเรียกหา ที่ปล่อยตัวอย่างออกมาเหมือนต้นฉบับแบบสมใจแฟนๆ - Spider-Man: Brand New Day | 31 กรกฎาคม 2026
เมื่อ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์พยายามทิ้งบทบาทสไปเดอร์แมนไว้ข้างหลัง เพื่อโฟกัสกับชีวิตมหาวิทยาลัยของตัวเอง แต่เมื่อภัยคุกคามครั้งใหม่ทำให้เพื่อน ๆ ตกอยู่ในอันตราย เขาก็เลยต้องกลับสวมชุดอีกครั้ง และจับมือกับพันธมิตรที่ไม่คาดคิด เพื่อปกป้องคนที่เขารัก - Hexed | พฤศจิกายน 2026
วัยรุ่นหนุ่มขี้เขินกับแม่สายเป๊ะของเขาค่อย ๆ ค้นพบว่า “ความแปลก” ของเขาอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่คือพลังเวทมนตร์ที่กำลังจะเปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ และเปิดประตูสู่โลกเวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ - Avengers: Doomsday | 18 ธันวาคม 2026
อเวนเจอร์สกลับมาอีกครั้ง โดยตัวอย่างเผยว่า สตีฟโรเจอร์ส (รับบทโดย Chris Evans) จะกลับมาปัดฝุ่นชุดกัปตันอเมริกาอีกครั้ง!
รอชมไลน์อัพภาพยนตร์จาก The Walt Disney Studios ได้ในโรงภาพยนตร์ ปี 2026










