ตลอดปีที่ผ่านมา หลายคนคงได้ยินคำว่า ‘เงินเฟ้อ’ อยู่บ่อยๆ จากข้าวของแพงที่ขึ้นไม่หยุด แต่สำหรับประเทศไทย พอมานั่งดูตัวเลขจริงๆ ตามที่ถูกนำออกมารายงานกลับอยู่คนละทางเพราะเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องหลายเดือน จนบางคนคิดว่าไทยอาจกำลังเสี่ยงเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อหรือเปล่า?
โดยข้อมูลจาก ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ สะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์เงินฝืดที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 0.65% YoY แต่ลดลง 0.05% MoM ขณะที่สินค้าราว 40.5% ในตะกร้า CPI อย่างผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และของใช้ในบ้านที่มีราคาลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปี 2568 ลงมาอยู่ที่ -0.1% สะท้อนแรงกดจากราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ลดลง พร้อมเตือนถึงความเสี่ยงเงินฝืดที่เริ่มชัดเจนขึ้น
สถานการณ์ตอนนี้จึงดูน่ากังวลทั้ง ‘เงินเฟ้อ’ และ ‘เงินฝืด’ โดยเฉพาะสำหรับคนทั่วไปที่อาจยังไม่เข้าใจความต่างของสองคำนี้และสงสัยว่าสุดท้ายแล้วแบบไหนที่ ‘น่ากลัวกว่ากัน’
[ เงินเฟ้อ ของแพงขึ้น เงินในกระเป๋ามีค่าน้อยลง ]
เงินเฟ้อ (Inflation) คือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆ คือ เงินจำนวนเท่าเดิม ซื้อของได้น้อยลง เช่น เมื่อก่อนกาแฟแก้วละ 40 บาท วันนี้ขึ้นเป็น 50 บาท แต่เงินเดือนยังเท่าเดิม นี่แหละคือเงินเฟ้อในชีวิตจริงของเรา
ซึ่งจริงๆ แล้วเงินเฟ้อไม่ได้เป็นเรื่องร้ายเสมอไป ถ้าอยู่ในระดับพอดี ราว 1–3% เพราะมันสะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังหมุน คนใช้จ่าย ธุรกิจขยาย และรายได้เติบโต แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินไป รายได้ขึ้นไม่ทัน ราคาของพุ่งเร็ว ก็จะกระทบค่าครองชีพและความมั่นคงทางการเงินของคนทั้งประเทศ
[ เงินฝืด ของถูกลง แต่ไม่มีใครอยากใช้เงิน ]
เงินฝืด (Deflation) คือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมลดลงต่อเนื่อง ซึ่งฟังดูเหมือนข่าวดี เพราะของถูก แต่ในความจริงมันคือสัญญาณอันตรายของเศรษฐกิจ เพราะเมื่อของถูกลง คนมักจะ ‘ชะลอการใช้เงิน’ คิดว่าเดี๋ยวรออีกหน่อยคงถูกกว่านี้ ธุรกิจขายของไม่ได้ รายได้ลด และอาจต้องลดคน ทำให้เงินในระบบหมุนช้าลงเรื่อยๆ
พอคนไม่ใช้ ธุรกิจก็ไม่ลงทุน เศรษฐกิจก็หยุดนิ่ง และถ้าเกิดต่อเนื่องนาน ประเทศอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เงินเฟ้อทำให้ของแพงแต่คนยังซื้อ ส่วน เงินฝืดทำให้ของถูกแต่ไม่มีใครกล้าใช้เงิน ซึ่งอันหลังนี่แหละที่นักเศรษฐศาสตร์กังวลมากกว่า
[ เงินฝืด ‘น่ากลัว’ กว่าเงินเฟ้อ? ]
ฟังเผินๆ เหมือนเงินฝืดจะดีกว่า เพราะของถูกลงใช่ไหม? แต่ในความจริง ‘เงินฝืด’ คือสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวรุนแรง เพราะคนเริ่ม ‘ไม่กล้าใช้จ่าย’ ธุรกิจขายของไม่ได้ รายได้ลด พนักงานถูกลดคนหรือชั่วโมงงาน เงินในระบบเลยหมุนช้าลงเรื่อยๆ เศรษฐกิจทั้งประเทศเหมือนหยุดนิ่ง
ต่างจาก ‘เงินเฟ้อ’ ที่ถึงของจะขึ้นราคา แต่เศรษฐกิจยังหมุน คนยังจับจ่าย มีแรงขับเคลื่อน แต่ถ้าเงินฝืดเกิดนาน จะกลายเป็นวงจรอันตรายของราคาตก ธุรกิจลดราคาเพื่อขาย รายได้หาย ความมั่นใจผู้บริโภคลด แล้วเศรษฐกิจก็ยิ่งฝืดต่อไปอีก นี่คือเหตุผลว่าทำไม ‘ของถูก’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ชีวิตดีขึ้น’ เสมอไป
[ ไทยเคยเจอภาวะเงินฝืด ]
ในอดีตไทยเคยเจอภาวะเงินฝืดและเกิดขึ้นหลายช่วงในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเผชิญวิกฤต เช่น ในช่วงปี 2558–2559 หลังราคาน้ำมันโลกดิ่งแรง ทำให้เงินเฟ้อไทยติดลบต่อเนื่องกว่า 10 เดือนติดต่อกัน เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวช้า ภาคการผลิตหดตัว และผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2567–2568 ก็เริ่มเห็นสัญญาณคล้ายกันอีกครั้ง เมื่อเงินเฟ้อทั่วไปติดลบยาวจากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง ขณะที่รายได้และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังไม่ฟื้นเต็มที่ ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า “ไทยอาจกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเชิงโครงสร้าง” ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะถ้าเกิดยาว จะกระทบต่อการเติบโตในระยะยาวของประเทศ
[ ถ้าเงินฝืดจริง จะได้รับผลกระทบยังไง ]
‘ภาวะเงินฝืด’ อาจฟังดูไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลกับทุกคนในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ‘รายได้’ ที่มักจะนิ่งหรือลดลง เพราะธุรกิจไม่กล้าขยาย ไม่กล้าจ้างเพิ่ม บางแห่งอาจลดโอทีหรือหยุดขึ้นเงินเดือน ทำให้กำลังซื้อของคนในประเทศลดลง แม้ของจะราคาถูกลง แต่เงินในกระเป๋าก็ไม่ได้เหลือมากขึ้นจริง
อีกด้านคือ ‘คนมีหนี้’ จะได้รับผลกระทบชัด เพราะรายได้ไม่โต แต่ภาระหนี้เท่าเดิม หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าเดิม ส่วน ‘คนออมเงิน’ ก็เจอกับดอกเบี้ยต่ำจนผลตอบแทนแทบไม่ขยับ ขณะที่ธุรกิจลงทุนใหม่ๆ ก็ชะลอเพราะมองไม่เห็นกำไรในอนาคต ภาวะแบบนี้ทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบเหมือนเครื่องยนต์ที่เดินเบาไปเรื่อยๆ
ดังนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่รอดูตัวเลขเงินเฟ้อ แต่คือการ ‘เร่งให้เศรษฐกิจกลับมาหมุน’ ทั้งจากฝั่งนโยบายและประชาชน ฝั่งรัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายหรือลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้หมุนเวียน ขณะที่ภาคเอกชนควรเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและขยายตลาด เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
แม้ตอนนี้ไทยอาจยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มตัว แต่สัญญาณหลายอย่างเริ่มชัดขึ้น ดังนั้นสำหรับคนทั่วไป สิ่งที่ทำได้คืออย่าหยุดใช้เงินทั้งหมด แต่ให้ใช้จ่ายอย่างมีคุณค่า วางแผนการเงินให้ดีและมองหาช่องทางเพิ่มรายได้ เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ คนที่ปรับตัวได้ไว คือคนที่อยู่รอด










