บลจ. ยูโอบี (UOBAM) ประเมินเศรษฐกิจโลกไม่เจอภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เศรษฐกิจไทยยังโตต่ำ เป้าดัชนีหุ้นไทย 1,443 จุด แนะกระจายการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก และกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ป้องกันความเสี่ยง
‘วรรณจันทร์ อึ้งถาวร’ รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี แม้ว่าเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่การชะลอตัวลงดังกล่าวคาดว่าจะไม่รุนแรงถึงระดับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Hard Landing)
ทั้งนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ก็จะช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง เพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดทุนโดยรวม และทำให้สภาวะเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุลได้
ขณะที่เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะฟื้นตัวต่ำกว่าคาดและมีการฟื้นตัวที่ไม่ครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจ โดยปัจจัยหลักที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มเบิกจ่ายได้เพิ่มขึ้นหลังจากการผ่านงบประมาณประจำปี
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เริ่มส่งสัญญาณในเชิงลบมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญการแข่งขันจากต่างประเทศที่มีความสามารถเชิงแข่งขันสูงกว่า และผลิตสินค้าได้สอดคล้องกับความต้องการในตลาดโลกมากกว่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการส่งออก
รวมถึง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเข้มข้นเพื่อพลิกฟื้นธุรกิจให้กลับคืนมา ซึ่งกระบวนการปรับตัวนี้จำเป็นต้องใช้เวลา
นอกจากนี้ภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็กยังประสบปัญหาระดับหนี้สินอยู่ในระดับสูงและจำเป็นต้องลดระดับหนี้ลง จึงส่งผลกระทบให้กำลังซื้อเพื่อใช้จ่ายบริโภคอุปโภค รวมถึงการลงทุนลดลง ประกอบกับสถาบันการเงินเริ่มได้รับผลกระทบจากระดับหนี้เสีย Non-Performing Loan (NPL) ที่เพิ่มขึ้น จนจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการให้กู้ยืม ส่งผลให้ภาวะการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลาง-เล็กตึงตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดของเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 บลจ.ยูโอบี คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีและอยู่ในช่วง 1.0-1.5% จากราคาพลังงาน และสาธารณูปโภค
แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ทางด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานนั้นมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% ยังถือเป็นระดับที่มีความกดดันต่อเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ
จากการฟื้นตัวต่ำกว่าคาดของเศรษฐกิจไทย และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ อีกทั้งภาวะการเงินที่ตึงตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของประเทศขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี จะส่งผลกดดันต่อเงินทุนเข้าออก และค่าเงินบาทซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป
ดังนั้น คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ และคาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ที่ 1,443 จุด อัพไซส์เพิ่มขึ้น 10% จากดัชนีระดับปัจจุบัน
โดยมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ การท่องเที่ยว การกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และ สาธารณูปโภค เป็นต้น
ด้าน ‘กุลฉัตร จันทวิมล’ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ ได้ให้ความเห็นต่อการจัดพอร์ต การลงทุนว่า ปัจจัยที่ต้องติดตาม มีดังนี้
1. ผลของการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวและการปรับลดการสนับสนุนด้านการคลังในช่วงปีที่ผ่านมาจะเริ่มสะท้อนให้เห็นในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งทำให้จัดสรรการลงทุนต้องมีความระมัดระวังเพิ่มเติม
2. อัตราเงินเฟ้อที่แม้ว่าจะปรับตัวลดลงแล้วแต่ต้องติดตามดูพัฒนาการว่าจะสามารถปรับตัวลดลงได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
3. ความเสี่ยงด้านการเมืองที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของ การเลือกตั้งของสหรัฐฯ, การเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมืองในฝั่งยุโรป รวมไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนได้
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงของตลาดหรือต้องลงทุนในระหว่างรอจังหวะการลงทุน แนะนำ
- กองทุนรวมตลาดเงิน คือ กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ (TCMF) ระดับความเสี่ยง 1 ที่มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ทั้งภาครัฐ และ/หรือภาครัฐวิสาหกิจ ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก
หากสามารถรับความเสี่ยงและต้องการกระแสรายได้จากการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก แนะนำ
- กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอลอินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ เอฟเอ็กซ์ ฟันด์ (UGISFX) ระดับความเสี่ยง 5 ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ PIMCO GIS Income Fund (Class I) (กองทุนหลัก) เพียงกองทุนเดียว ซึ่งจะกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนทั่วโลก โดยประมาณการผลตอบแทนเฉลี่ย UGIS อยู่ที่ 10% ต่อปี และ UGISFX 5-8% ต่อปี
กองทุนแนะนำสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนแบบผสมทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ แนะนำ
- กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลบอล แอลโลเคชั่น ฟันด์ (UOBSGA) ระดับความเสี่ยง 5 ลงทุนในหน่วยลงทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ BGF Global Allocation Fund ที่จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อผู้ลงทุนทั่วไปเพียงกองทุนเดียว โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนในต่างประเทศทั่วโลก
กองทุนแนะนำสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น แนะนำลงทุนในหุ้นทั่วโลกในอุตสาหกรรมที่ได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ได้แก่
- กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อิควิตี้ ซัสเทนเนเบิล โกลบอล ฟันด์ (UESG) ระดับความเสี่ยง 6 กองทุนลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ RobecoSustainable Global Stars Equities IL EUR (กองทุนหลัก) ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและส่งเสริมการลงทุนด้าน ESG ประมาณการผลตอบแทนเฉลี่ย UGIS อยู่ที่ 10% ต่อปี
- กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โรโบติกส์ & อาร์ติฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อีทีเอฟ (UBOT) ระดับความเสี่ยง 6 กองทุนลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ ชื่อ Global X Robotics & Artificial Intelligence ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งกองทุนหลักเป็นกองทุนรวมประเภท ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา
- กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย (UOBSA) ระดับความเสี่ยง 6 ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ คือ กองทุน United Asia Fund Class T SGD Acc กองทุนหลักจัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management (Singapore) ประมาณการผลตอบแทนเฉลี่ย UGIS อยู่ที่ 10-15% ต่อปี










