หนี้เสีย (NPL) ในกลุ่มธุรกิจ SME ตอนนี้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ที่น่าห่วงคือธุรกิจ SME ถือเป็นฟันเฟืองหนึ่งของเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นกลุ่มที่สร้างการจ้างงานมากที่สุด แต่กลับต้องเผชิญปัญหาหนี้พุ่งสวนทางกับรายได้ที่หดตัว ส่วนมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐก็ทยอยหมดลง
มุมมองจาก ‘ณัทสุดา พุกกะณะสุต’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ Investree เล่าว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยไม่ต่างจาก ‘ต้นไม้ที่รากไม่แข็งแรง’ ขาดน้ำหล่อเลี้ยง แต่ยังถูกแดดแผดเผาเหมือนกับเศรษฐกิจที่เผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสงครามการค้า หนี้ครัวเรือนสูง และความเปราะบางอื่นๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบลึกไปถึงรากฐานอย่าง SME ที่ต้องรับแรงกดดันหนักที่สุด
[ ทางรอด SME คือเงินทุน ]
ตอนนี้ SME กำลังเผชิญ ‘วิกฤตสภาพคล่อง’ การเข้าถึงเงินทุนจึงแทบจะเป็นทางรอดเดียว รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเองก็ต้องมองธุรกิจของตัวเองอย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่รวมถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่แท้จริง
แต่ปัญหาคือ ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใสแบบนี้ การกู้เงินยิ่งยากขึ้น ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้หลายกิจการขาดสภาพคล่อง ซ้ำร้ายยังต้องเจอแรงกดดันใหม่ เช่น ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ 19%
ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนต่อการลงทุน หลายบริษัทรายใหญ่เลือกชะลอการลงทุน ขณะที่ผู้ประกอบการไทยเองก็เจอกับต้นทุนจากประเทศเพื่อนบ้านที่เพิ่มขึ้น ทำให้แข่งขันได้ยากกว่าเดิม
[ Investree สะพานเชื่อม SME กับนักลงทุน ]
สำหรับ Investree เปิดตัวในปี 2561 และในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้บริการระบบ Funding Portal หรือ Crowdfunding Platform
ภารกิจหลักก็คือ ‘ปิดช่องว่างทางการเงิน’ เชื่อม SME ที่มีศักยภาพเข้ากับนักลงทุน โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา Investree ระดมทุนสะสมแล้วกว่า 4.2 พันล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการไทยกว่า 120 ราย ผ่านดีลมากกว่า 2,000 ครั้งแล้ว
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า SME ไทยยังต้องการแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้จริง โดย Crowdfunding จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่คือ ‘สาธารณูปโภคทางการเงิน’ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และช่วยสร้างวินัยให้ทั้งผู้กู้และนักลงทุน
[ เป้าหมายต่อไป ]
‘วรกร สิริจินดา’ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ได้เล่าถึงเป้าหมายที่สำคัญของ Investree คือ การเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีศักยภาพทุกรายเข้าถึงการระดมทุน พร้อมสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลและฐานข้อมูลที่โปร่งใส เพื่อให้ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนเชื่อมั่นและได้ประโยชน์อย่างเป็นธรรม
ทั้งนี้ มองว่าการเติบโตของตลาดตราสารหนี้ SME จะต้องพัฒนาระบบนิเวศไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางเลือก เช่น ข้อมูลธุรกรรมจริง มาช่วยประเมินเครดิต การขยายการค้ำประกัน ให้ครอบคลุมหุ้นกู้รวมถึงกลไกปรับโครงสร้างหนี้และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
และที่สำคัญคือการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ทั้งด้านการบริหารธุรกิจ การเงิน และการจัดการต้นทุน ซึ่งภาครัฐควรมีบทบาทนำส่วนนี้ให้มากขึ้นด้วยในอนาคต
สุดท้าย การเข้าถึงเงินทุนของ SME ไม่ได้เป็นเพียงการพยุงธุรกิจรายเล็ก แต่คือการรักษารากฐานของเศรษฐกิจไทยโดยรวม หากทุกฝ่ายร่วมกันสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่โปร่งใสและยั่งยืน จะทำให้ SME เดินต่อได้ และเศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้นทั้งระบบ
