ผู้นำสูงสุดอิหร่านอ้าง ‘สหรัฐฯ-อิสราเอล’ อยู่เบื้องหลังการลุกฮือประท้วงของผู้หญิงอิหร่านทั่วประเทศ หลังเกิดเหตุหญิงวัย 22 ปีเสียชีวิต จากการจับกุมของตำรวจศีลธรรม โดยระบุว่าทั้งสองชาติพยายามหยุดยั้งความก้าวหน้าของอิหร่าน
.
อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าวต่อนักเรียนนายร้อยตำรวจ ที่มหาวิทยาลัยตำรวจในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศเมื่อวันจันทร์ (3 ต.ค.) เปรียบการประท้วงว่าเป็นการจลาจล พร้อมชี้ว่าการประท้วงดังกล่าวถูกออกแบบมาโดยสหรัฐฯ และระบอบไซออนนิสต์จอมปลอม ซึ่งเขาหมายถึงอิสราเอล รวมถึงพวกชาวอิหร่านเองที่ทรยศชาติและอยู่นอกประเทศ
.
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสูงสุดอิหร่านกล่าวถึงการเสียชีวิตของหญิงวัย 22 ปี หลังถูกตำรวจศีลธรรมจับกุม ซึ่งเป็นต้นตอของการประท้วงครั้งใหญ่ว่า นี่เป็นความเจ็บปวดและรู้สึกหัวใจสลายเช่นกัน แต่ก็ชี้ว่า ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งการประท้วงเผาฮิญาบ เผามัสยิด ไปจนถึงทำลายรถยนต์ประชาชน เป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดธรรมชาติ

โดยจนถึงขณะนี้มีรายงานว่า การประท้วงในอิหร่านได้ลุกลามไปกว่า 80 เมืองทั่วประเทศ ท่ามกลางมาตรการจัดการกับผู้ชุมนุมของทางการอิหร่านที่เข้มงวด โดยทางการอิหร่านชี้ว่า มีผู้ถูกจับกุมแล้วราว 1,500 คน และมีผู้ประท้วงเสียชีวิตอย่างน้อย 14 คน อย่างไรก็ตาม หน่วยงานสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากการประท้วงมากกว่า 130 คน และมีผู้ถูกจับกุมอีกหลายพันคน
.
สำหรับต้นเหตุของความไม่พอใจ เกิดจากการเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี หญิงชาวอิหร่านวัย 22 ปี ที่ถูกตำรวจศีลธรรมจับกุมเมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากเธอสวมฮิญาบโดยที่มีเส้นผมโผล่ออกมา จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในอีก 3 วันต่อมา
.
ทางการอิหร่านระบุว่า เธอเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลว เนื่องจากล้มหมดสติที่ศูนย์ควบคุม แต่ครอบครัวของอะมินีปฏิเสธว่า เธอไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมาก่อน ทางการอิหร่านยังปฏิเสธว่า เธอไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกตีด้วยกระบองและถูกจับศีรษะโขกกับรถตามที่ญาติและหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต
.
ที่มา Al Jazeera, VOA










