สหรัฐฯ-แอฟริกาใต้-สหภาพยุโรป ระงับวัคซีน ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ หลังพบอาการเลือดแข็งตัว

สหรัฐฯ-แอฟริกาใต้-สหภาพยุโรป ระงับวัคซีน ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ หลังพบอาการเลือดแข็งตัว

COVID-19
สหรัฐฯ, แอฟริกาใต้ และสหภาพยุโรป ระงับวัคซีนโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ชั่วคราว หลังพบผู้ได้รับวัคซีนมีอาการเลือดแข็งตัว ขณะที่หลายฝ่ายกังวลว่า วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อาจมีความเชื่อมโยงกับอาการดังกล่าวเช่นเดียวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากกระบวนการพัฒนาวัคซีนคล้ายกัน
วันที่ 14 เมษายน 2564 เว็บไซต์บีบีซีรายงานว่า ในตอนนี้สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ และสหภาพยุโรป ประกาศระงับการใช้งานวัคซีนโควิด-19 ชนิดฉีดเข็มเดียว ที่พัฒนาโดยบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) แล้ว หลังมีรายงานผู้ได้รับวัคซีนมีอาการเลือดแข็งตัว

ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ยืนยันว่า พบผู้ได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จำนวน 6 ราย มีอาการเลือดแข็งตัว ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้หญิง อายุตั้งแต่ 18-48 ปี เริ่มมีอาการเลือดแข็งตัวหลังได้รับวัคซีนไปแล้ว 6-13 วัน โดยในจำนวนนี้มี 1 รายเสียชีวิต และอีก 1 รายอาการสาหัส กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล
โดยการพบผู้ได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีอาการเลือดแข็งตัว 6 ราย ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในสหรัฐฯ ที่ฉีดไปแล้วกว่า 6.8 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การค้นพบดังกล่าว ทำให้ทางการสหรัฐฯ สั่งระงับการใช้งานวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ชั่วคราว จนกว่าการสอบสวนเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนจะเสร็จสิ้น
รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า การระงับใช้วัคซีนฉีดเข็มเดียวของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐฯ นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ตั้งเป้าไว้ว่า จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ 200 ล้านโดส ภายใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯ มีวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และโมเดอร์นา (Moderna) เพียงพอต่อความต้องการ และสามารถฉีดได้ถึง 3 ล้านโดสต่อวัน
การค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลแอฟริกาใต้ ซึ่งเริ่มใช้วัคซีนโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วเกือบ 300,000 คน สั่งระงับการใช้งานชั่วคราวด้วย เช่นเดียวกับสหภาพยุโรปที่สั่งระงับการใช้งานวัคซีนยี่ห้อนี้เช่นกัน
หลายฝ่ายกำลังกังวลว่า วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะมีผลข้างเคียงในลักษณะเดียวกับวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งพบผู้ได้รับวัคซีนมีอาการเลือดแข็งตัว และมีการยืนยันในเวลาต่อมาว่า อาการดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ใช้วิธีการพัฒนาในรูปแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า การพบอาการเลือดแข็งตัวหลังฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า อยู่ในระดับที่ต่ำมาก ทำให้หลายประเทศตัดสินใจเดินหน้าแจกจ่ายฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป แต่เพิ่มความระมัดระวังในการฉีดวัคซีนดังกล่าว ผ่านการจำกัดอายุผู้สมควรได้รับวัคซีนชนิดนี้
TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง