สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพเมียนมา โจมตีทางอากาศหมู่บ้านประชาชน จนมีผู้เสียชีวิตหลายคน ชาวบ้านกว่า 12,000 คน ได้รับผลกระทบ พร้อมเรียกร้องนานาชาติหยุดขายอาวุธให้กองทัพเมียนมา ขณะที่กองทัพเมียนมาระบุว่า เปิดฉากโจมตีทางอากาศเฉพาะพื้นที่ตั้งกองกำลัง KNU เท่านั้น
วันที่ 3 เมษายน 2564 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 2 เมษายน ประณามกองทัพเมียนมาอย่างรุนแรงต่อการใช้กำลัง ซึ่งรวมถึงการทิ้งระเบิดและโจมตีทางอากาศในหมู่บ้านของประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ระหว่างวันที่ 27-30 มีนาคมที่ผ่านมา
แถลงการณ์ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงระบุว่า ปฏิบัติการของกองทัพเมียนมาทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน โดยมีเด็กรวมอยู่ด้วย ขณะเดียวกันยังทำลายโรงเรียน บ้านเรือนประชาชน และหมู่บ้าน จนมีชาวบ้านได้รับผลกระทบมากกว่า 12,000 คน ที่ต้องหลบหนีออกจากหมู่บ้าน

สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงระบุว่า การกระทำของกองทัพเมียนมา มีพฤติการณ์เป็นการก่อการร้าย ละเมิดกฎหมายทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ พร้อมระบุถึงการรัฐประหารของกองทัพเมียนมาว่า เป็นการยกระดับสถานการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศ ทำลายเอกภาพ ความปรองดองภายในชาติ เสถียรภาพและเสรีภาพของเมียนมา
ในช่วงท้ายของแถลงการณ์ฉบับนี้ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงเรียกร้องให้นานาชาติยุติการขายอาวุธทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆให้กับกองทัพเมียนมา ซึ่งในตอนนี้มีพฤติกรรมก่อการร้ายต่อประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ขณะเดียวกันยังเรียกร้องให้ชาวเมียนมา และกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศ และประชาคมโลก ทำทุกวิถีทางอย่างแข็งขันเพื่อคว่ำบาตรกองทัพเมียนมา
ขณะที่ซอว์ มิน ทุน โฆษกกองทัพเมียนมา ชี้แจงว่า กองทัพเมียนมามีการปฏิบัติการทางอากาศต่อสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงเพียงวันเดียว และเป้าหมายเน้นไปที่พื้นที่กองพล 5 ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง เพื่อโจมตีฐานที่มั่นและกำลังพลเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ของชาวกะเหรี่ยง ส่งผลให้มีชาวกะเหรี่ยงจำนวนหนึ่งข้ามแดนเข้ามายังประเทศไทยเพื่อหนีภัยการสู้รบ โดยเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวว่า นโยบายของไทยต่อกรณีผู้หนีภัยจากการสู้รบเข้ามาในชายแดนไทยนั้น ไทยมีประสบการณ์ในการับมือกับผู้อพยพเข้าไทยด้วยเหตุผลต่างๆ จากประเทศเพื่อนบ้านมายาวนาน และได้ให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ จากประเทศเพื่อนบ้านตามหลักมนุษยธรรม และหลักสากลระหว่างประเทศมาโดยตลอด










