ย้อนกลับไปช่วงวิกฤตการเงินปี 2008 เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญแรงสั่นสะเทือนหนัก แต่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ด้วยการออกกฎหมาย Corporate Restructuring Promotion Act (CRPA) ที่เน้นจัดการหนี้ธุรกิจอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการ ‘จัดกลุ่มลูกหนี้ตามศักยภาพ’ และออกมาตรการเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่แก้แบบเหมาเข่งเหมือนที่ผ่านมา
ผลลัพธ์คือ ธุรกิจที่ยังมีศักยภาพ (Viable) ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลา ลดดอกเบี้ย หรือเสริมสภาพคล่องให้กลับมาเดินต่อได้ ขณะที่กลุ่มที่เริ่มเปราะบาง (Weak but Viable) ก็ได้รับการสนับสนุนควบคู่กับมาตรการเข้ม เช่น ลดหนี้บางส่วนหรือช่วยเสริมเงินทุน
ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาหนัก (Distressed) และธุรกิจที่ไปต่อไม่ได้ (Insolvent) ก็เข้าสู่กระบวนการเจรจานอกศาลหรือล้มละลายตามกฎหมาย พร้อมทั้งเสริมด้วยกองทุนเฉพาะกิจจาก KAMCO และมาตรการพิเศษอย่าง Automatic Stay เพื่อบรรเทาภาระหนี้ชั่วคราว
บทเรียนที่สำคัญในครั้งนี้คือ เกาหลีใต้ไม่ได้ใช้มาตรการเดียวในการแก้ทุกปัญหา แต่เลือกวิธีที่ตรงกับศักยภาพลูกหนี้ในแต่ละกลุ่มและสภาพแวดล้อมธุรกิจ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้เร็วและยังรักษาธุรกิจที่ไปต่อได้ไว้จำนวนมาก
[ ไทยกำลังเดินเข้าสู่จุดเสี่ยงเดียวกัน ]
ส่วนสถานการณ์ล่าสุดในไทย แม้เศรษฐกิจจะเพิ่งผ่านช่วงฟื้นตัวหลังโควิดมาไม่นาน แต่ตัวเลขหนี้กำลังน่าเป็นห่วง โดย ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ (KResearch) รายงานข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ขยับขึ้นจาก 2.81% ในไตรมาสแรก มาอยู่ที่ 2.83% ในไตรมาส 2/2568
แม้จะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่แรงกดดันหลักกลับมาจาก สินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่มี NPL สูงถึง 7.79% ขณะที่ธุรกิจรายใหญ่ยังคงทรงตัวเพียง 1.01% ส่วนหนี้ครัวเรือน เช่น ที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต หรือเช่าซื้อ แม้จะเริ่มลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิ
[ SMEs เปราะบางที่สุดในระบบ ]
ข้อมูลเครดิตบูโรระบุว่า ‘ธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งเสี่ยง’ โดยธุรกิจ ซุปเปอร์ไมโคร (วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท) มี NPL สูงถึง 14.81% ตามด้วย ไมโคร 12.11% และ ธุรกิจขนาดเล็ก 9.75% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่แทบไม่ได้รับผลกระทบ มี NPL เพียง 1.37%
แนวโน้มนี้ต่อเนื่องหลายไตรมาส หากเทียบกับปีแรกหลังโควิดที่หลายกิจการเพิ่งกลับมาเดินเครื่อง คุณภาพหนี้ของ SMEs ตอนนั้นยังดีกว่าปัจจุบัน แต่เวลาผ่านไปแรงฟื้นตัวกลับค่อยๆ หายไป ต้นทุนสูงขึ้น รายได้ไม่ฟื้นเต็มที่ และผลกระทบลามไปถึงแรงงานและผู้ผลิตรายย่อยในห่วงโซ่ หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ ความเปราะบางก็จะกระจายถึงเศรษฐกิจครัวเรือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[ อุตสาหกรรมเสี่ยง ค้าปลีก–อสังหาฯ–โรงแรม ]
เมื่อแยกตามอุตสาหกรรม จะพบว่าหนี้ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นในหลายเซกเตอร์หลัก ไม่ว่าจะเป็น ค้าส่ง–ค้าปลีก, ก่อสร้าง–อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรม–ที่พักแรม โดยเฉพาะค้าปลีกที่ NPL ปรับขึ้นต่อเนื่องหลายไตรมาสติดต่อกัน สะท้อนแรงกดดันจากอำนาจซื้อในประเทศที่ยังซบเซา การแข่งขันจาก Social Commerce และกระแสสินค้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาแย่งตลาด
ภาคการผลิตแม้จะมีทิศทางดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมีความเสี่ยงจากการส่งออกที่สะดุด เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า ครึ่งหลังปีนี้คุณภาพหนี้ภาคการผลิตอาจถดถอย และลามไปยังธุรกิจอื่นๆ ได้
นอกจากนี้ ตัวเลขยังชี้ให้เห็นว่าฐานหนี้ดีกำลังกร่อนลง เพราะถึงแม้ข้อมูลการชำระหนี้ย้อนหลัง 1 ปีจะบอกว่าประมาณ 95% ของบัญชีสินเชื่อธุรกิจยังอยู่ในสถานะ ‘ดี’ แต่แนวโน้มกำลังลดลง ขณะที่บัญชีที่มีพฤติกรรม ‘ดีสลับแย่’ (On–Off) และ ‘มีปัญหารุนแรง’ (Distressed) กลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกลุ่ม Distressed ขยายจาก 49,000 บัญชีในปี 2563 เป็นเกือบ 70,000 บัญชีในต้นปี 2568 แสดงให้เห็นว่าฐานหนี้ดีค่อยๆ กร่อนลงเรื่อยๆ
[ ปรับโครงสร้างหนี้ รีบแก้ยังมีลุ้น ]
จากรายงานประเมินว่าลูกหนี้ที่เริ่มค้างชำระ 31–60 วัน ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาเป็นหนี้ดีได้ถึง 35% ในไตรมาสถัดไป แต่ถ้าปล่อยจนกลายเป็น NPL โอกาสกลับมาปกติเหลือเพียง 9% เท่านั้น ทำให้มาตรการ Responsible Lending (RL) ที่บังคับใช้ในปัจจุบันมีความสำคัญมาก เพราะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการแก้หนี้ก่อนเป็น NPL ได้เกือบเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ทำให้การแก้หนี้ยากขึ้น ไม่ได้มาจากเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความเชื่อผิดๆ ของลูกหนี้ เช่น หนีหนี้ไปรอศาล หวังลดหนี้ ไม่ยอมขายทรัพย์มรดก แม้ภาระหนี้พอกพูน หรือกู้เงินดอกเบี้ยสูงมาหมุนหนี้ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การแก้หนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
ซึ่งจากบทเรียนของหลายประเทศรวมถึงเกาหลีใต้ การแก้หนี้ที่ยั่งยืนต้องอาศัย 3 องค์ประกอบหลัก
1.มาตรการเฉพาะกลุ่ม : แยก Pre-NPL กับ Post-NPL ให้ชัดเจน
2.ความร่วมมือจากทุกฝ่าย : ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และรัฐ ต้องร่วมมือกัน
3.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ : เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง ลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขั
นี่จึงเป็นสัญญาณว่าไทยควรเร่งออกแบบมาตรการที่ตรงกลุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น ก่อนที่ปัญหาหนี้จะบานปลายจนยากแก้ไข เพราะหากยังใช้วิธีแก้แบบ ‘เหมาเข่ง’ หรือพึ่งพามาตรการเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว หนี้เสียก็จะยังคงวนซ้ำและกลายเป็นแรงถ่วงต่อการพัฒนาประเทศ
ตัวเลขล่าสุดยืนยันว่า หากปล่อยปัญหายืดเยื้อ ฐานหนี้ดีก็จะค่อย ๆ กร่อนลง และความเสี่ยงจะลามไปในหลายอุตสาหกรรมหลักอย่างค้าปลีก อสังหาฯ และโรงแรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจ้างงานและการบริโภคภายในประเทศแต่หากประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากกรณีเกาหลีใต้ ที่ใช้การจัดกลุ่มลูกหนี้และออกมาตรการเฉพาะตามศักยภาพ พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้มั่นคงและลดต้นทุนธุรกิจ ก็มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้ และทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเดินต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนจริงๆ










