ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2568 เศรษฐกิจและตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความปั่นป่วนจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา แต่ในภาพรวมเริ่มคลี่คลายลงหลังมีการบรรลุข้อตกลงแล้ว
เนื่องจากอัตราภาษีที่ประกาศไม่ได้สูงเกินคาด และหลายประเทศได้แรงหนุนจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาเชื่อมั่น ตลาดการลงทุนก็เริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นและดัชนีหลายแห่งทำสถิติสูงสุดใหม่
[ ตลาดโลกยังไปต่อ แต่มีแรงกดดันรออยู่ ]
‘ชวินดา หาญรัตนกูล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เล่าว่าในไตรมาส 3/2568 ตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อ โดยดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 7.2% (ข้อมูล ณ 19 ก.ย. 2568) ซึ่งถือว่าผิดปกติเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนๆ ที่มักซบเซา ซึ่งปัจจัยบวกมาจากความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยมากขึ้นและผลกระทบจากภาษีที่ไม่รุนแรง
โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยปีนี้ 2-3 ครั้ง และปีหน้าอีก 3-4 ครั้ง ส่วนไทยจะลดดอกเบี้ยปีนี้ 1 ครั้ง และปีหน้าอีก 1 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม KTAM ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกยังมีโอกาสชะลอตัวจากหลายปัจจัย เช่น การเร่งส่งออกล่วงหน้าที่อาจสะดุดในอนาคต แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงยุโรปที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดแรงส่ง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจหดตัว สำหรับกองหุ้นต่างประเทศที่แนะนำ ได้แก่ KT-AASIA, KT-WTAI และ KT-US
[ ตลาดการลงทุนสลับขั้ว ]
หากเราย้อนกลับไปช่วงครึ่งปีแรก 2568 ตลาดหุ้นยุโรปโดดเด่นจากราคาพลังงานที่ลดลงและสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ทำให้นักลงทุนมั่นใจ เงินทุนไหลเข้าสู่หุ้นกลุ่มการเงินและอสังหาริมทรัพย์
พอเข้าสู่ครึ่งปีหลัง ความน่าสนใจขยับมาที่เอเชีย เพราะว่าจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนการค้าและการท่องเที่ยว มูลค่าหุ้นในภูมิภาคก็ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ หลายประเทศเอเชียเริ่มลดดอกเบี้ยหรือนิ่งไว้กลายเป็นแรงหนุนสำคัญที่ดึงดูดกระแสเงินทุนกลับมาสู่ตลาดฝั่งเอเชียอีกครั้ง
แต่ในขณะที่ทุกตลาดกำลังฟื้นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ยกเว้นเพียงตลาดหุ้นไทยที่ยังกลับมาฟื้นได้ไม่ดีนักในช่วงที่ผ่านมา เพราะมีหลายปัจจัยที่คอยกดดันอยู่เรื่อยๆ โดยเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 2.2% และปีหน้าราว 2.3%
[ หุ้นไทยกดดันแต่ยังพอมีอัพไซด์ ]
ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) อ่อนตัวจากปัจจัยภายนอก ทั้งความไม่แน่นอนด้านภาษีของสหรัฐฯ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงปัจจัยในประเทศจากเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่าคาด ภาคท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น และความไม่แน่นอนทางการเมือง
แต่ดัชนีเริ่มฟื้นตั้งแต่ ก.ค. จากความคาดหวังผลประกอบการไตรมาส 2 นโยบายการเงินผ่อนคลาย และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีทีมเศรษฐกิจมืออาชีพหนุนความเชื่อมั่น
KTAM มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,350 จุด และปีหน้าที่ 1,450 จุด โดยหุ้นไทยยังไม่แพงและมีอัพไซด์ กลุ่มน่าสนใจคือ ‘พาณิชย์และโรงพยาบาล’ ซึ่งมีศักยภาพกำไรยั่งยืน ความผันผวนต่ำ และจ่ายปันผลสูง พร้อมรับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นในประเทศ แนะนำลงทุนผ่านกองทุน KTEF และ KT-HiDiv
[ ตราสารหนี้แนะระยะกลาง-ยาว ]
แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนทั้งใน ตราสารหนี้ และ หุ้น โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ไทยที่ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนโดดเด่น หลังแบงก์ชาติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.5% ส่งผลให้กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง–ยาวทำผลงานได้ดี
อย่างไรก็ดี หากเรามองไปข้างหน้า ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าเดิม เพราะดอกเบี้ยไทยมีโอกาสปรับลดได้อีกไม่มากแล้ว กองทุนที่ยังน่าสนใจคือ KTSTPLUS และ KTFIXPLUS ซึ่งยังมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้
[ AUM โตแตะ 1 ล้านล้านบาท ]
ในปัจจุบัน KTAM มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การดูแล (AUM) ขึ้นไปแตะ 1 ล้านล้านบาทเรียบร้อยแล้ว เพิ่มจากต้นปีมาประมาณ 5–6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่โตมาจากกองทุนรวม ซึ่งยังเป็นธุรกิจหลักต่อไป เป้าหมายคือรักษาระดับ 1 ล้านล้านบาทให้มั่นคง และหาทางโตต่อ
โดยร่วมมือใกล้ชิดกับ ธนาคารกรุงไทย เพื่อนำเสนอกองทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ช่วงปลายปีนี้เตรียมออกกอง RMF แนวเทคโนโลยี ส่วนในช่วงต้นปีหน้าจะมีเพิ่มกองทุนตลาดเงินสกุลดอลลาร์ รวมถึงพัฒนากองทุนเดิมให้ดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น
ดังนั้น ภาพเศรษฐกิจโลกแม้ยังมีแรงกดดัน แต่ไม่ถึงขั้นถดถอย นักลงทุนควรเน้นการกระจายพอร์ต ทั้งในหุ้นเทคฯ หุ้นเอเชีย และหุ้นสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการเลือกหุ้นไทยที่มีคุณภาพ เพื่อรับมือความผันผวนและหาทางเติบโตในระยะยาว
ท่ามกลางตลาดที่ยังผันผวน นักลงทุนควร ‘กระจายการลงทุน’ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน โดยกองทุนผสมอย่าง KTMUNG, KTMEE, KTSRI และ KTSUK ถือว่าน่าสนใจเพราะลงทุนหลายสินทรัพย์ในกองเดียว
ขณะที่ กองทุนอสังหาฯ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่ามอง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7–8% สูงกว่าดอกเบี้ยปัจจุบัน แต่ต้องเลือกกองให้เหมาะสม เชื่อว่าถ้าผลตอบแทนเฉลี่ยเริ่มลดลง ราคากองทุนกลุ่มนี้อาจขยับขึ้นต่อได้










