‘แก๊สหัวเราะ’ ฟังแค่ชื่ออาจดูไม่น่าจะอันตราย แต่ความจริง กำลังกลายเป็นวิกฤตที่ทำให้หลายคนหัวเราะไม่ออก
แม้จะถูกใช้ในวงการแพทย์มานาน โดยเฉพาะในทันตกรรม แต่ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous Oxide) หรือที่เรียกติดปากว่า ‘แก๊สหัวเราะ’ กำลังกลายเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อมันหลุดจากห้องผ่าตัดเข้าสู่วงจรเสพติดในหมู่วัยรุ่น
ในสหรัฐฯ รายงานล่าสุดระบุว่า การใช้แก๊สนี้ในเชิงสันทนาการทำให้วัยรุ่นเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 ราย และมีผู้ป่วยรุนแรงอีกจำนวนมาก ขณะที่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพิ่งออกประกาศเตือนอย่างเป็นทางการในปี 2566 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ‘สายเกินไป’ เพราะสังคมเคยมองว่าแก๊สนี้ไม่อันตรายเท่าสารเสพติดอื่น
แต่ในขณะที่อเมริกาเริ่มเข้าสู่ระยะควบคุม ประเทศไทยกลับยังอยู่ในจุดเริ่มต้นของปัญหา มีข่าวการจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่าย ‘แก๊สหัวเราะ’ มากขึ้น แต่ยังไม่มีมาตรการควบคุมในระดับนโยบายที่ชัดเจน เราจะเรียนรู้อะไรจากบทเรียนของอเมริกาและประเทศอื่นๆ ได้บ้าง?
จากยาในห้องผ่าตัด สู่ของเล่นที่เสพติดได้
ไนตรัสออกไซด์ไม่ใช่ของใหม่ ถูกใช้ทางการแพทย์มานาน เพราะมีฤทธิ์ลดความเจ็บปวดและความวิตกกังวล โดยเฉพาะในห้องผ่าตัดและคลินิกทันตกรรม แถมยังออกฤทธิ์เร็วและหมดฤทธิ์เร็ว ถือว่าปลอดภัยเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์
แต่ด้วยคุณสมบัติที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม และหัวเราะได้โดยไม่รู้สาเหตุ มันจึงถูกนำมา ‘เล่นสนุก’ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นที่อยากลองของใหม่ โดยไม่รู้ว่าผลข้างเคียงอาจรุนแรงถึงขั้น หมดสติ อัมพาต หรือเสียชีวิต
สิ่งที่น่ากังวลคือ แก๊สชนิดนี้ไม่ได้มีภาพลักษณ์น่ากลัว ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องจุดไฟ และถูกใช้ผ่านการสูดดมจากลูกโป่ง ทำให้ภาพลักษณ์ดูเหมือน ‘ของเล่น’ มากกว่า ‘ยาเสพติด’ นี่เองจึงทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าไม่เป็นอันตราย
เมื่อความเมาแฝงมาในรอยยิ้ม
สิ่งที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ตัวสาร แต่คือ ‘วิธีใช้’ จากเดิมที่อยู่ในห้องแพทย์ ปัจจุบันไนตรัสออกไซด์กลายเป็นของเล่นในงานปาร์ตี้ มิวสิกเฟสติวัล หรือแม้แต่สวนสาธารณะ โดยมักบรรจุในกระป๋องเล็ก ๆ (whippits หรือ nangs) แล้วดูดผ่านลูกโป่งให้รู้สึก ‘ลอย’ เล่นๆ
ข้อมูลจากการสำรวจแห่งชาติของสหรัฐฯ (NSDUH) ชี้ว่า เยาวชนอายุ 16–24 ปี คือกลุ่มที่ใช้ไนตรัสออกไซด์มากที่สุด และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกัน งานวิจัยใน BMJ Case Reports รายงานกรณีวัยรุ่นที่เป็นอัมพาตหลังใช้ไนตรัสออกไซด์ติดต่อกัน เพราะสารนี้ไปรบกวนการดูดซึม วิตามิน B12 ที่จำเป็นต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการชา สูญเสียการทรงตัว หรือแม้แต่อัมพาตถาวร
ในปี 2566 มีวัยรุ่นชายในโคโลราโดเสียชีวิตหลังใช้ไนตรัสออกไซด์ในงานเลี้ยง จน FDA ต้องออกประกาศเตือนเป็นครั้งแรกว่า “ไนตรัสออกไซด์เป็นอันตรายทั้งทางร่างกายและพฤติกรรม ไม่ควรถูกใช้เพื่อความบันเทิง”
แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไม FDA ต้องรอให้มีคนตายก่อน ถึงจะขยับตัวเตือน? ทำไมการควบคุมถึงช้า ทั้งที่การใช้ผิดประเภทเกิดขึ้นมานานนับสิบปี?
บทเรียนจากอเมริกาที่ไทยไม่ควรละเลย
ในขณะที่อเมริกากำลังเผชิญผลจากการปล่อยให้ไนตรัสออกไซด์ไหลเวียนโดยไร้การควบคุมมานานนับทศวรรษ ประเทศไทยเพิ่งเริ่มพูดถึงมันอย่างจริงจัง หลังเกิดข่าวจับกุมและตรวจยึดกระป๋องไนตรัสจำนวนมากในช่วงต้นปี 2568
เหตุผลหนึ่งคือ ‘แก๊สหัวเราะ’ เคยถูกมองว่าไม่มีพิษภัยนัก เพราะมีที่มาจากวงการแพทย์ และยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมอาหารอย่างถูกกฎหมาย (เช่น ใช้ทำวิปครีม)
แต่เมื่อมันหลุดเข้าไปในพื้นที่สีเทา เช่น สถานบันเทิง หรือการขายออนไลน์ ปรากฏการณ์การใช้เพื่อความบันเทิงก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน
แม้ตอนนี้ “ไนตรัสออกไซด์ถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2564 ห้ามจำหน่ายหรือใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังมีช่องว่างที่เอื้อต่อการใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ในสถานบันเทิงและขายออนไลน์“
ปัจจุบัน บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย ยังสามารถพบการขาย ‘แก๊สหัวเราะ’ ในชื่อ ‘แก๊สวิปครีม’ ได้อย่างเปิดเผย พร้อมอุปกรณ์ครบชุด ตั้งแต่หัวฉีด ลูกโป่ง ไปจนถึงรีวิวการใช้งานแบบตรงๆ
“ความท้าทายสำคัญของไทย จึงไม่ได้อยู่ที่การมีกฎหมาย แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดผล และการอุดช่องว่างของการเข้าถึง โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ยังคงมีการจำหน่ายอย่างโจ่งแจ้ง รวมถึงการขาดการรับรู้ที่ถูกต้องจากประชาชนทั่วไปว่า ‘แก๊สหัวเราะ‘ ไม่ใช่แค่ของเล่นหรือสารเติมแต่งอาหารที่ไร้พิษภัย แต่คือภัยเงียบที่กำลังคืบคลานเข้าสู่ร่างกายและอนาคตของเยาวชนไทย
ภัยเงียบจาก ‘ลูกโป่งหัวเราะ’ ไทยต้องเร่งมือแก้ ก่อนสายเกินไป
ในวันที่สารบางชนิดถูกมองข้ามเพราะ ‘ดูไม่อันตราย’ การเรียนรู้จากบทเรียนของประเทศอื่นจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมันเริ่มส่งผลกระทบกับเยาวชน และขยายตัวผ่านช่องว่างของการควบคุม
‘แก๊สหัวเราะ’ อาจไม่ใช่ปัญหาใหม่ในระดับโลก แต่สำหรับไทย การตั้งคำถามและออกแบบมาตรการที่เหมาะสม อาจช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับปัญหาแบบเดียวกันซ้ำอีกในอนาคต










