“หัวใจทำงานเพื่อเราตลอดตั้งแต่แรกเกิด” แพทย์หัวใจ แนะ คัดกรองโรคช่วยได้ 86.8% รอดชีวิตจากการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ

“หัวใจทำงานเพื่อเราตลอดตั้งแต่แรกเกิด” แพทย์หัวใจ แนะ คัดกรองโรคช่วยได้ 86.8% รอดชีวิตจากการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ 

HEALTH & LIFE

ณ ปัจจุบัน คนไทยมีการเสียชีวิตหลายหมื่นรายต่อปี จากโรคหัวใจ เพราะเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ค่อยมีสัญญาณเตือน ตั้งแต่ระยะแรกเท่าใดนัก ทำให้นกว่าจะรู้ตัว ก็ตอนที่โรคเข้าสู่ระยะรุนแรงจ นรักษาได้ยาก โดยเฉพาะ ‘โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ’ ที่หากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวที่อันตรายถึงชีวิตได้ 

 

ตัวเลขงานวิจัย จาก สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ระบุว่า อัตรารอดชีวิตจากการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ สูงถึง 86.8% สะท้อนถึงความสำคัญตรวจคัดกรองโรคอย่างทันท่วงที เพราะถ้าตรวจเจอเร็ว ก็รักษาได้ไว และมีโอกาสรอดชีวิตสูง 

อะไรคือความสำคัญ ของการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เป็นกุญแจในการมีหัวใจที่แข็งแรง นพ.ศรัณย์พงศ์ ภิบาลญาติ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด รพ.วิมุต จะมาแชร์แนวทางการรับมือกับโรคหลอดเลือดหัวใจ ให้ทุกคนกัน 

[ โรคหลอดเลือดหัวใจอันตรายแค่ไหน ]

โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการสะสมของคราบพลัค หรือคราบไขมัน ที่เกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจ จนกระทั่งหลอดเลือดตีบมากขึ้นเรื่อย ๆ 

สิ่งที่ตามมา เมื่อเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ในบางรายอาจไม่มีอาการใดๆ เลย จนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต 

นพ.ศรัณย์พงศ์ ถึงได้ชี้ให้เห็นว่า โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นหนึ่งในภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันอันตรายก่อนที่จะสายเกินไป

[ แล้วใครบ้างคือ “กลุ่มเสี่ยง” ที่ควรไปตรวจ ]

อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ กล่าวว่า ผู้ที่มีความเสี่ยง และควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจตีบอย่างจริงจัง ได้แก่ กลุ่มอายุ 35–40 ปีขึ้นไป ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะค่า LDL สูง ยังรวมไปถึง ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง สูบบุหรี่จัด ใช้สารเสพติด มีโรคไตวายเรื้อรัง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจขาดเลือดตั้งแต่อายุน้อย 

“หลายคนอาจยังไม่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ทุกภาวะเสี่ยงล้วนเป็นตัวเร่งให้โรคพัฒนาได้รวดเร็วขึ้น สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลย ก็ยังสามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้เช่นกัน แม้โอกาสพบความผิดปกติจะน้อยกว่า แต่ก็ช่วยในการวางแผนดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างเหมาะสม” นพ.ศรัณย์พงศ์ อธิบาย

[ ไม่เจ็บ ไม่ซับซ้อน รู้จักวิธีตรวจคัดกรอง ]

การตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดหัวใจ สามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่นิยมและใช้บ่อยที่สุดมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้ 

  • CT Calcium Score (CAC) 

การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจหาปริมาณคราบพลัค ที่สะสมอยู่ในหลอดเลือดหัวใจ ผลลัพธ์จะแสดงเป็นตัวเลข ยิ่งตัวเลขสูงก็ยิ่งสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 

นพ.ศรัณย์พงศ์ กล่าวว่า วิธีนี้ไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และใช้ปริมาณรังสีค่อนข้างน้อย ก่อนตรวจควรงดชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เพื่อไม่ให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป จะช่วยให้ภาพที่ได้คมชัดและอ่านผลได้ง่าย 

  • การเดินสายพาน (exercise stress test) 

วิธีการนี้เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในระหว่างการออกแรงหรือเดินเร็ว บนสายพานที่จะเพิ่มความเร็วและความชันมากขึ้น สามารถใช้เพื่อคัดกรองภาะวะหลอดเลือดหัวใจตีบในปริมาณมากได้ 

สำหรับการตรวจสุขภาพของหลอดเลือดของร่างกาย ยังส่วนอื่นที่สำคัญ ได้แก่ หลอดเลือดใหญ่บริเวณคอที่ไปเลี้ยงสมอง โดยการทำ Carotid Doppler Ultrasound เป็นการตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อดูหลอดเลือดแดงบริเวณคอที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง สามารถคัดกรองการตีบ หรือการสะสมของคราบพลัค ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองได้ วิธีนี้ไม่ต้องใช้รังสีเช่นกัน แต่ต้องอาศัยแพทย์ผู้ชำนาญการในการแปลผลอย่างถูกต้อง 

  •  ABI (Ankle–Brachial Index) 

เป็นการตรวจเปรียบเทียบค่าความดันโลหิตที่แขนกับเหนือข้อเท้า ใช้สำหรับคัดกรองภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ โดยเฉพาะบริเวณขา 2 ข้าง วิธีนี้ไม่เจ็บ และไม่ต้องใช้รังสี และมีขั้นตอนการตรวจที่ง่าย คล้ายการวัดความดันโลหิตโดยทั่วไป การตรวจดังกล่าว เบื้องต้นใช้เช็คสุขภาพของหลอดเลือดแดงที่สำคัญทั่วร่างกาย  ซึ่งจัดเป็นวิธีที่สะดวก เตรียมตัวได้ง่าย และรวดเร็ว 

นพ.ศรัณย์พงศ์ อธิบายถึงสิ่งที่หลายคนมักสงสัยต่อว่า “หากผลตรวจพบคราบไขมัน แต่ยังไม่ถึงขั้นหลอดเลือดหัวใจตีบมากนัก และไม่มีอาการ เบื้องต้นแพทย์จะแนะนำให้ควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น ลดระดับ LDL ให้น้อยกว่า 100 หรือ 70 mg/dL กรณีมีความเสี่ยงมากขึ้น หรือมีคราบพลัคปริมาณมาก รวมถึงการคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดสูบบุหรี่และสารเสพติด และติดตามผลเลือดและความดันโลหิตตามที่แพทย์นัด เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงต่างๆ และป้องกันการเกิดโรคที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”

[ ลดเสี่ยงโรคหัวใจ ด้วยพฤติกรรมที่ทำได้ทุกวัน ]

นอกจากการตรวจคัดกรอง นพ.ศรัณย์พงศ์ ยังระบุว่า สามารถดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง ได้ด้วยการปรับพฤติกรรม เริ่มจากเลือกอาหารสดใหม่ กินให้ครบ 5 หมู่ และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว หรือผ่านการแปรรูป เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน เบคอน ไส้กรอก เบเกอรี่ และขนมหวานที่มีไขมัน เนยหรือครีมปริมาณมาก 

ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที และเสริมด้วยการเวทเทรนนิ่ง 2–3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ 

“ที่ขาดไม่ได้คือ ต้องนอนพักให้เพียงพออย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน ระหว่างวันควรหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งสัมพันธ์กับโรคเบาหวานและกลุ่มอาการเมตาบอลิก ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ อีกด้วย” นพ.ศรัณย์พงศ์ กล่าว

“หัวใจทำงานเพื่อเราอยู่ตลอดตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนกลับละเลย ดังนั้นต้องเริ่มดูแลหัวใจตั้งแต่วันนี้ อย่ารอให้มีอาการหนักแล้วค่อยหันมาสนใจ เพราะบางครั้งอาจสายเกินไปจนรักษาได้ยาก เพียงหมั่นตรวจคัดกรองเป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง และคนที่อายุ 35 ขึ้นไป รวมทั้งค่อยๆ ปรับพฤติกรรมไปทีละน้อย คุมน้ำหนักให้สมดุล ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดต่าง ๆ และปกป้องชีวิตของเราให้ยืนยาว อยู่กับคนที่เรารักไปนาน ๆ” นพ.ศรัณย์พงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง