คนไทยแบกค่ารักษาพยาบาล ของ ‘ประชากรข้ามชาติ’ จริงหรือไม่? คุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติ

คนไทยแบกค่ารักษาพยาบาล ของ ‘ประชากรข้ามชาติ’ จริงหรือไม่? คุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติ

HEALTH & LIFE

นับตั้งแต่ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ออกรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ และภาพรวมปี 2567 โดยมีหัวข้อคนต่างด้าวกับระบบสาธารณสุขชายแดน ระบุว่า ‘เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเรียกเก็บไม่ได้ จากกลุ่มที่ไม่ใช่คนไทยพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีมูลค่าถึง 9.2 หมื่นล้านบาท’

 

สร้างความสับสนในสังคม สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานให้ข้อมูลผิดพลาด 

ต่อมา สภาพัฒน์ฯ ได้ออกมาชี้แจ้งในหน้าเว็บไซต์ของตนเอง แม้จะมีการแก้ไขข้อมูล และนำเสนอข้อเท็จจริงจากหน่วยงานรัฐ แต่พบว่าข้อมูลตัวเลข 9.2 หมื่นล้านบาท สร้างความไม่พอใจให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก 

จนถึงวันนี้ ความเชื่อที่ว่าสังคมไทยกำลังแบกรับค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข ของประชากรข้ามชาติยังคงเป็นข้อถกเถียง และนำขึ้นมาสร้างความไม่พอใจ ต่อกลุ่มประชากรข้ามชาติมาโดยตลอด 

เพื่อไขข้อสงสัยดังกล่าว สำนักข่าว TODAY ได้พูดคุยกับ สุรสักย์ ธไนศวรรยางกูร ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติ (Migrat Health Program) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย กับองค์การอนามัยโลก หรือที่มีชื่อเรียกว่า Country Cooperation Strategy  ที่ทำหน้าที่พัฒนานโยบาย และแก้ไขปัญหาเรื่องของประชากรข้ามชาติในประเทศไทย ที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุข ว่าตกลงแล้วไทยต้องกังวลกับประเด็นนี้มากน้อยเพียงใด

[70% ของการรักษาพยาบาลประชากรข้ามชาติ ‘จ่ายเงินเอง’] 

ที่ผ่านมา การสื่อสารภาพรวม มักนำเสนอไปในทิศทางว่า โรงพยาบาลในประเทศไทย แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ของกลุ่มประชากรข้ามชาติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บไม่ได้จำนวนมาก 

ทว่า สุรสักย์ ได้เปิดเผยข้อมูลยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างประเทศ ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขไทย กำลังฉายภาพในอีกแง่มุม 

ข้อมูลนั้น กล่าวถึงในปี 2567 มีจำนวน ‘ชาวเมียนมา’ ซึ่งเป็นสัญชาติที่เข้ารับบริการสาธารณสุขมากที่สุด จำแนกได้ ดังนี้ 

  • เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐไทย และชำระเงินเอง 789,709 ครั้ง (70%)
  • ใช้สิทธิประกันสังคม 284,248 ครั้ง (25%)
  • ใช้สิทธิประกันสุขภาพเอกชน 1,066 ครั้ง (0.09%),
  • ใช้สิทธิประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข 51,953 ครั้ง (4.58%),
  • สามารถชำระเงินได้เพียงบางส่วน 1,111 ครั้ง (0.09%),
  • และไม่สามารถชำระเงินได้ 4,351 ครั้ง (0.38%)

“กลุ่มคนที่ไม่จ่ายเงินไม่ใช่แค่คนพม่า กัมพูชา ลาว แต่คือทุกสัญชาติที่ถูกนับรวม” สุรสักย์ เน้นย้ำสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

 ยกตัวอย่าง ปี 2567 ก็มีรายงานคนสัญชาติจีน ไม่ชำระค่ารักษาพยาบาล เป็นจำนวน 13 ล้านบาท เป็นต้น  ตามความเข้าใจมักมุ่งเป้าไปที่ ‘ประเทศเพื่อนบ้าน’ ทว่าตามความเป็นจริง คนกลุ่มนี้ซึ่งจำนวนมากเป็นแรงงาน หากไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง ก็มักจะมีหน่วยงานระหว่างประเทศ และกองทุนช่วยเหลือต่างๆ คอยสนับสนุนค่าบริการ ทำให้ตัวเลขการไม่ชำระอย่างกรณีชาวเมียนมา อยู่ที่เพียง 0.38% ตามที่ปรากฏ

สำหรับระบบสิทธิของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติ คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม สุรสักย์ แสดงข้อมูลว่า อยู่ในระบบประกันสังคม 1,396,810 คน, จ่ายเงินซื้อประกันเอกชนด้วยตนเอง 725,952 คน, จ่ายเงินซื้อประกันของกระทรวงสาธารณสุข 723,910 คน  จ่ายเงินซื้อประกันทางเลือก 90,000 คน และกองทุน ท.99 739,804 คน 

โดย สิทธิประเภทท.99 หมายถึง สิทธิการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมสำหรับแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ข้อมูลดังกล่าว ยังชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนที่ไม่ใช่คนไทย โดยเฉพาะกลุ่มใหญ่อย่างประชากรข้ามชาติ 4 สัญชาติ โดยเฉลี่ยแล้วคนหนึ่ง จะไปโรงพยาบาล 2 ครั้ง ต่อปี สืบเนื่องจากคนเหล่านี้เป็นวัยทำงาน

หากเป็นการรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก จะมีต้นทุนเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 612 บาท/ครั้ง โดยมีการเข้ารับบริการรวมในปี 2567 ทั้งสิ้น 2,524,939 ครั้ง ในขณะที่การรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน กลุ่มคนที่ไม่ใช่คนไทยเวลาป่วย และนอนโรงพยาบาลจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่  3.59 วันต่อครั้ง และมีต้นทุนเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 12,873 บาทต่อครั้ง  โดยมีการเข้ารับบริการรวมในปี 2567 ทั้งสิ้น 261,966 ครั้ง

เมื่อมาดูแหล่งรายได้ และรายจ่ายของโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มประชากรข้ามชาติ สุรสักย์ พบว่า รายได้ส่วนหนึ่งมาจากการเก็บค่าบริการคนต่างชาติ รวมทั้งเงินส่วนเกินจากสิทธิต่างๆ เช่น ประกันสุขภาพของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่ได้ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด

ริน (สงวนชื่อและนามสกุลจริง) ตัวแทนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ได้ให้ข้อมูลว่า ปีหนึ่งเขาจ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพจากเอกชนราคา 2,000 บาท โดยในประกันระบุเงื่อนไขเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ไม่เกินครั้งละ 1,000 บาท สูงสุด 15 ครั้ง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยการไปรักษาพยาบาลของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งอยู่ที่ 2 ครั้งต่อปี และมีต้นทุน 612 บาท/ครั้ง ก็นับว่าครอบคลุม 

นอกจากนี้ สุรสักย์ ชี้ให้เห็นในส่วนของกองทุนหลักประกันสุขภาพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มประชากรข้ามชาติ เช่น M-Fund, ประกันสุขภาพเอกชน, ประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ยิ่งกองทุนเหล่านี้มีจำนวนสมาชิกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้โรงพยาบาลมีรายรับมากขึ้น

“ถ้าทำให้เงินกองทุนต่างๆ รวมถึงจากฝั่งที่ไม่ใช่คนไทยใหญ่ขึ้น โรงพยาบาลจะได้รับรายได้มากขึ้น”

ในทางกลับกัน สุรสักย์ชี้ว่า ปัญหาโรงพยาบาลรัฐขาดทุนทุกวันนี้ เกิดจากต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่งบประมาณส่วนกลางไม่สามารถครอบคลุมได้ เช่น ค่าทำงานล่วงเวลาของบุคลากร, ค่าเครื่องมือทางการแพทย์บางประเภท และค่าสาธารณูปโภค ที่เกินกว่าที่ได้รับจัดสรรโดยตรงจากกระทรวงสาธารณสุข   

อีกทั้ง โรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ใช้แพทย์มาดูแลเรื่องการเงิน ทำให้ความเข้าใจเรื่องของการเงินการคลังไม่ได้ดี เท่าคนที่มีทักษะเฉพาะทาง ตามความเห็นของ สุรสักย์

“การเจ๊งหรือไม่เจ๊งของโรงพยาบาล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนแรงงานข้ามชาติ ที่เข้ามารักษาพยาบาล แต่มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามา โดยเฉพาะเรื่องของงบประมาณที่ขาดการจัดสรร และบริหารการเงินการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ” สุรสักย์กล่าวทิ้งท้ายในประเด็นนี้

[วิกฤตสาธารณสุขชายแดน ทำอย่างไรไม่ให้ผลกระทบภาพรวมไทย]

“เราต้องทำให้คนเหล่านี้มีงานทำ พึ่งพาตนเองได้ และพวกเขาจะไม่เป็นภาระสาธารณสุขไทย”

จากสถานการณ์ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ตัดงบสนับสนุนองค์กรสาธารณกุศลอย่าง TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ระลอกที่ 2 ต่อเนื่อง จากการตัดงบครั้งแรกเมื่อตอนต้นปี ทำให้ส่งผลกระทบต่อศูนย์พักพิงชั่วคราว 7 แห่งใน 9 แห่ง ที่ตั้งบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา กระทบเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัย และระบบสาธารณสุขของผู้ลี้ภัย ราว 100,000 คน  

สุรสักย์ มองว่า หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหานี้ คือการทำให้คนเหล่านี้สามารถทำงาน และพึ่งพาตนเองได้

“เมื่อพวกเขามีรายได้ก็สามารถดำรงชีพได้  สามารถซื้อประกันสุขภาพได้ ภาครัฐก็ไม่ต้องมาแบกรับภาระเหล่านี้”

สุรสักย์ เสนอให้ภาครัฐใช้ประโยชน์จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และสาธารณสุขที่เป็นชาวกะเหรี่ยง และชาวเมียนมาในพื้นที่ โดยจ้างงานคนเหล่านี้ให้สามารถทำงานดูแลรักษาคนในศูนย์พักพิงทั้ง 9 แห่ง รวมทั้ง จัดสรรให้เหล่าผู้ช่วยแพทย์ในศูนย์พักพิง มีสถานะอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว เพื่อให้เกิดการยอมรับสถานะ และสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานให้แก่พวกเขา

สังคมไทยสามารถปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้โดยสิ้นเชิงได้ไหม? หากเรามองว่าภาษีของคนไทยควรต้องมีไว้ใช้สำหรับช่วยคนไทยเพียงอย่างเดียว

“เราอยู่ในสังคมโลกที่ไม่ควรทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันนี้มีแรงงานข้ามชาติในไทยอยู่อันดับ 17 ของโลก พวกเขามีส่วนร่วมใน GDP ของประเทศกว่า 4-6% ถ้าขาดพวกเขาไปประเทศไทยก็ขับเคลื่อนทางด้านเศรษฐกิจยาก” สุรสักย์ ตอบคำถามดังกล่าว

โดยสรุป ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติรายนี้ มองว่า หนึ่งในวิธีการบรรเทาปัญหาด้านสาธารณสุข ของผู้คนในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง คือการจัดการระบบให้คนเหล่านี้ทำงานได้ และเปลี่ยนแปลงสถานะของพวกเขา จากกลุ่มคนที่รอคอยความช่วยเหลือ เป็นแรงงานข้ามชาติ ที่สามารถพึ่งพาตนเอง และไม่เป็นภาระทางระบบสาธารณสุขของสังคมไทย

[คนไทยและกลุ่มประชากรข้ามชาติ สามารถใช้ระบบสาธารณสุขร่วมกันได้อย่างไร]

สุรสักย์ ชวนมองว่า ประเด็นระบบสาธารณสุขของกลุ่มประชากรข้ามชาติ เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ เช่น ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน การจัดการแรงงานข้ามชาติ และที่สำคัญคือ การลงทะเบียนกลุ่มประชากรข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

“ถ้าเมื่อไหร่ที่เราลงทะเบียนทุกคนที่เข้ามาในประเทศไทยได้ เราจะสามารถติดตามการกระทำ การเข้าถึงบริการ จัดสวัสดิการต่างๆ จะสามารถจัดการได้ง่าย รวมทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม”

สุรสักย์ กล่าวต่อว่า จิ๊กซอว์ชิ้นแรกในการแก้ไขปัญหานี้ คือการทำให้คนทุกคนได้รับการรับรองตามกฎหมาย นอกจากนี้ ปัญหาที่พบในปัจจุบันคือ ตามตัวเลขมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียน ราว 4 ล้านคน กระทรวงมหาดไทย กลับมีข้อมูลของคนเหล่านี้ อยู่เพียงแค่ 1-2 ล้านคนเท่านั้น

“เราจัดการสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อพวกเขา แต่เพื่อคนไทย เวลาเกิดอะไรขึ้นมา เช่น การควบคุมโรคระบาด เพื่อไม่ให้พวกเขาไปเผยแพร่โรคให้กับคนไทยที่อยู่ในชุมชน”

ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ให้การรับรองปฏิญญาว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage – UHC) ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2019 

ทว่า สุรสักย์ มองว่า หลักประกันสุขภาพที่อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกจะเกิดได้จริง ก็ต่อเมื่อคนทุกคนที่อยู่ในประเทศ สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างถ้วนหน้าโดยไม่มีเงื่อนไข อีกทั้งภายใต้การบริหารจัดการที่ดี ย่อมไม่ทำให้ระบบสาธารณสุขล่มสลาย เพราะต้องไม่ลืมว่าการดูแลคนทุกคนให้มีสุขภาพที่แข็งแรง คือการป้องกันโรคระบาด และทำให้สังคมโดยภาพรวมมีสุขภาพที่ดี ตามความเห็นของ สุรสักย์

“วันนี้ประเทศไทยไม่ได้สูญเสียประโยชน์ เพียงแค่ว่าจะทำอย่างไรในฐานะเพื่อนมนุษย์ ที่สามารถช่วยเหลือกันและกัน สิ่งที่กลุ่มประชากรข้ามชาติต้องการไม่ได้มีความพิเศษ เพียงแค่บริการสุขภาพพื้นฐาน ที่ให้พวกเขามีชีวิตรอด และมีสุขภาพที่ดีเพียงเท่านั้น”  สุรสักย์กล่าวทิ้งท้าย

Nathaphob WriterNathaphob

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง