1 บาทของรัฐ สร้างมูลค่า 12 บาท? คุยถึง ‘เศรษฐศาสตร์ผู้ลี้ภัย’ กับ รศ.ดร.วรพล

1 บาทของรัฐ สร้างมูลค่า 12 บาท? คุยถึง ‘เศรษฐศาสตร์ผู้ลี้ภัย’ กับ รศ.ดร.วรพล

‘ทุก 1 บาทที่รัฐลงทุน สามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ มากกว่า 12 บาทในภาพรวม’ ดังนั้น ระบบแรงงานผู้ลี้ภัยจึงควรถูกออกแบบ และกำกับด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว ภายใต้แนวทาง ‘Refugee Economic Inclusion’ ที่สร้างสมดุลระหว่างมนุษยธรรม ความมั่นคง และการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย

 

ถ้อยคำดังกล่าว คือ บทสรุปของรายงานวิจัย ‘การศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของการให้สิทธิในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยในประเทศไทย: กรณีศึกษาจังหวัดตาก เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร’ ที่จัดทำโดย รศ.ดร. วรพล ยะมะกะ และคณะ จากศูนย์วิจัยความเป็นเลิศทางเศรษฐมิติ ม.เชียงใหม่

โดยผลลัพธ์ของการศึกษาครั้งนี้ ดูจะสวนทางกับกระแสสังคม ที่มองว่ารัฐบาลไทยกำลังแบกรับผู้ลี้ภัยและแรงงานจากประเทศเมียนมาโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อกฎหมายเพิ่งจะบังคับใช้ ให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา และเพื่อไขข้อสงสัย และหาข้อเท็จจริง สำนักข่าว TODAY มีโอกาสพูดคุยกับ อ.วรพล ถึงเบื้องหลังของการศึกษาชิ้นนี้

รวมถึงไขข้อสงสัยที่ว่า ตกลงแล้วการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอยู่เฉยๆ และรอความช่วยเหลือ กับการเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ได้ทำงาน และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทางเลือกใดส่งผลดีต่อสังคมไทยมากกว่ากัน

ลงทุน  1 บาทกับผู้ลี้ภัย สร้างผลตอบแทน 12 บาท  เป็นไปได้ยังไง?

“เงิน 1 บาทที่รัฐใช้ไปกับผู้ลี้ภัย ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การศึกษาของบุตรหลาน หรือค่าใช้จ่ายด้านการดูแลอื่น ๆ มิได้หายไป แต่กลับก่อให้เกิดการหมุนเวียนและการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินแล้วสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าต้นทุนที่ลงทุนไปถึง 12 เท่า”

อ.วรพล เริ่มต้นด้วยการอธิบายข้อจำกัดของการเก็บข้อมูลภาคสนาม ว่าไม่สามารถเข้าถึง และเก็บข้อมูลเชิงลึก จากผู้ลี้ภัยที่พักอาศัย ที่อยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่งในประเทศไทยได้โดยตรง เนื่องจาก ข้อจำกัดด้านความมั่นคง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิจัยนี้จึงใช้กลยุทธ์การจำลองสถานการณ์ (simulation approach) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีพื้นหลัง และแรงจูงใจใกล้เคียงกับผู้ลี้ภัยในค่าย นั่นคือ ชาวเมียนมาที่อพยพเข้าไทย หลังการรัฐประหารปี 2021

ภาพภายในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่นายสอย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยอูอู

กลุ่มนี้มีลักษณะร่วมหลายประการกับผู้ลี้ภัยในค่าย ไม่ว่าจะเป็นการหนีออกจากเมียนมา ด้วยเหตุผลด้านความไม่มั่นคงทางการเมือ และความปลอดภัย, การมีโครงสร้างครัวเรือนที่ใกล้เคียงกัน, ตลอดจนการแสวงหาโอกาสด้านเศรษฐกิจในประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยจึงให้นิยามกลุ่มดังกล่าวในเชิงปฏิบัติการว่า ‘แรงงานผู้ลี้ภัย’

อ.วรพล เล่าถึงการสำรวจนำร่อง (Pilot Study) ในพื้นที่สามจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตาก และเชียงใหม่ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 300 คน เพื่อแทนกลุ่มผู้ลี้ภัยในค่าย และสะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจของแรงงานผู้ลี้ภัยในไทย

ก่อนที่ อ.วรพล ได้เริ่มการคำนวณการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ จากแรงงานผู้ลี้ภัย โดยใช้แนวคิด Cost-Benefit Analysis (CBA) Multiplier Analysis หรือ ตัวทวีคูณ เเละ Gross Value Added (GVA)

จากตารางที่ 4.11 ที่ปรากฏในรายงาน อธิบายได้ว่า รายได้เฉลี่ยของกลุ่มแรงงานผู้ลี้ภัย ก่อนได้รับสิทธิการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 7,901 บาท ต่อคนต่อเดือน โดยหากได้รับสิทธิการทำงานอย่างถูกต้องแล้ว มีการคาดการณ์รายได้โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 17,920 บาทต่อคนต่อเดือน

จากการเก็บข้อมูลของ อ.วรพล พบว่า กว่า 60% ของรายได้แรงงานผู้ลี้ภัย ถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเฉลี่ย 9,211 บาท ต่อคนต่อเดือน โดยส่วนที่เหลือถูกใช้ไปในการเก็บออม 5,021 บาท และท้ายสุด  คือ ส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวที่ประเทศเมียนมา 2,966 บาท

“GVA ในงานวิจัยนี้ หมายถึงมูลค่าเศรษฐกิจส่วนเพิ่ม ที่เกิดจากการใช้จ่ายสุทธิของแรงงานเมียนมา ในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งเมื่อถูกขยายด้วยค่า Multiplier จึงก่อให้เกิดผลคูณทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น”

อ.วรพล อธิบายหลักการทำงานของ Gross Value Added (GVA) ว่า เงินทุกบาทที่แรงงานผู้ลี้ภัยใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจไทย จะถูกส่งต่อไปยังผู้ประกอบการหลายระดับ ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้าในตลาด, ร้านค้าขนาดกลาง, ร้านค้าขนาดใหญ่, ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม การหมุนเวียนของเงินเหล่านี้ ก่อให้เกิดการทวีคูณของมูลค่าทางเศรษฐกิจ

โดยคำนวณได้ว่า ทุก 1 บาทที่แรงงานใช้จ่าย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ประมาณ 1.7 เท่า ซึ่งสะท้อนกลไกของ Multiplier Effect ที่ทำให้ GVA สุดท้ายสูงกว่ามูลค่าเงินตั้งต้น

จากนั้น จึงนำตัวทวีคูณเข้ามาคูณกับค่าใช้จ่ายประจำเดือนของพวกเขา ที่ 9,211 บาท ก็จะได้มูลค่าเศรษฐกิจส่วนเพิ่มอยู่ที่ 15,658 บาท และเมื่อนำไปคำนวณร่วมกับจำนวนแรงงานในพื้นที่ศึกษา 3 จังหวัด ก็จะได้มูลค่าเศรษฐกิจส่วนเพิ่ม จากแรงงานผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ เฉพาะส่วนการบริโภคอย่างเดีย วไม่รวมภาษี คิดเป็น 7,500 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 90,006 ล้านบาทต่อปี

“90,006 ล้านบาท คือขนาดเศรษฐกิจจากมูลค่าเพิ่ม จากการบริโภคของแรงงานผู้ลี้ภัย ทั้งสามจังหวัดที่ทำการศึกษา”  อ.วรพล กล่าว

จากนั้นเมื่อนำตัวเลขดังกล่าวมาหักลบกับต้นทุนที่รัฐไทยดูแลแรงงานกลุ่มนี้ อยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปีอ.วรพล ค้นพบว่า ไทยได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ จากการที่คนเหล่านี้สามารถทำงานในไทยได้ถึง 12 เท่า

“รัฐบาลไทยอุ้มชูคนเหล่านี้จริง แต่กลับกัน เราได้ประโยชน์จากคนเหล่านี้พอสมควร”

อ.วรพล มองว่า ข้อมูลที่เขาจัดทำขึ้นมานั้น เป็นมิติที่สังคมไทยไม่ค่อยพูดถึง เพราะว่าเข้าใจได้ยาก และยังจำกัดอยู่ในวงนักเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น บทสนทนาเรื่องของผู้อพยพย้ายถิ่นฐานในประเทศไทย จึงอยู่ในวังวนของการคิดแค่ว่า เราเสียเงินให้เขา แต่ไม่ได้ไปดูต่อว่าหลังจากนั้น มีกลไกที่สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่ออย่างไร

“ถ้ามัวแต่มองว่าคนเหล่านี้จะมาแย่งงาน นั่นหมายความว่าคนไทยยังอยากทำงานไร้ทักษะอยู่ใช่หรือไม่?”  รศ.ดร. วรพลตั้งคำถาม

รศ.ดร. วรพล ยะมะกะ

“คนไทยควรก้าวไปข้างหน้า และมีทัศนคติของการทำงานระดับสูงขึ้นไป และให้แรงงานหรือคนจากประเทศเพื่อนบ้านมาทำงานในระดับแรงงานทักษะต่ำแทน”

อย่างไรก็ดี  อ.วรพล ได้ให้ข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า ณ ขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ยังไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องเพิ่มกำลังแรงงานไร้ฝีมือเข้ามาเติมในตลาดเเรงงาน แต่ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้แรงงานกัมพูชาบางส่วนขาดหายไป จึงมีความจำเป็นในระยะสั้น ที่จะต้องหาแรงงานทดแทน และกลุ่มผู้อพยพหนีภัยการสู้รบ ซึ่งอาศัยอยู่ในแคมป์ ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีความเหมาะสม ในการเข้ามาทำงานแทนแรงงานกัมพูชา

นอกจากนี้ อ.วรพล ยังได้ให้ข้อเสนอว่า กำลังแรงงานที่สังคมไทยขาดแคลน และจะเป็นประโยชน์หากได้มาเพิ่มเติม คือแรงงานทักษะปานกลาง และแรงงานทักษะสูงในบางสาขาอาชีพที่ยังขาดแคลน ซึ่งกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาบางส่วนมีทักษะเหล่านี้ อย่าง ด้านสาธารณสุข ด้านภาษา เป็นต้น

เปิดให้ผู้ลี้ภัยทำงาน กระทบอย่างไรต่อตลาดแรงงานไทย

“ผมมองว่าการนำคนเหล่านี้ออกมาทำงาน ไม่ได้สร้างภาวะคุกคามแก่แรงงานไทย เพราะคิดเป็น 0.01% ของกำลังแรงงานของประเทศ”

อ.วรพล มองว่า ในจำนวนผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในแคมป์จำนวน 77,000 คน ถึงที่สุดแล้วมีจำนวนวัยแรงงานจริงๆ ประมาณ 40,000 คน ที่สามารถออกมาทำงานได้ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้สร้างผลกระทบวงกว้าง จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นกังวล “ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน กลุ่มผู้ลี้ภัยในแคมป์สามารถตอบโจทย์ เพราะเราสามารถนำคนเหล่านี้ไปทดแทนแรงงานกัมพูชาได้”

ภาพภายในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่นายสอย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยอูอู

อ.วรพล ให้ความเห็นว่า คนกลุ่มเหล่านี้มีความผูกพันกับสังคมไทยมากว่า 40 ปี จึงทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมไทย ได้มากกว่าการนำเข้าแรงงานจากประเทศเอเชียใต้ นอกจากนี้ คนในแคมป์บางส่วนยังได้รับการศึกษา และสามารถสื่อสารได้มากกว่า 1 ภาษา ซึ่งค่อนข้างตอบโจทย์ในทัศนะของ อ.วรพล ที่ต้องการแรงงานมีฝีมือมากกว่าแรงงานไร้ฝีมือเพียงอย่างเดียว

“หนูพูดภาษาไทใหญ่ พม่า กะเหรี่ยงแดง ภาษาไทย และภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย หนูอยากทำงานเป็นล่ามเพราะเป็นสิ่งที่หนูถนัด”

เสียงจาก อูอู  ในวัย 21 ปี ผู้หนีภัยการสู้รบที่พักอาศัยอยู่ในแคมป์บ้านใหม่นายสอย ใกล้กับ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เล่าให้กับ TODAY ฟังว่าเธอเกิดภายในแคมป์ผู้ลี้ภัย โดยแม่ของเธอได้อพยพมาที่นี่ ตั้งแต่เธออายุ 8 ขวบ สำหรับอูอูแล้ว ประเทศไทยคือบ้านหลังสุดท้ายของเธอ

“ถ้าไล่พวกหนูกลับไป หนูก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน” เธอแสดงความรู้สึกถึงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ที่กล่าวว่า ‘ประเทศไทยควรผลักดันคนเหล่านี้กลับประเทศเมียนมา’

อูอู เล่าต่อว่า เธอพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว เพราะเคยไปช่วยงานน้าที่เปิดร้านหมูกระทะอยู่ใน จ.แม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ เธอกำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมีเป้าหมายอยากเรียนจบปริญญาตรี เพื่อทำเรื่องขอสัญชาติไทยต่อไป

“ความฝันของหนูอยากได้สัญชาติของประเทศใดประเทศหนึ่ง อยากเป็นคนมีสัญชาติ และหนูก็มีความรู้สึกผูกพันกับประเทศไทย เพราะอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต”

สำหรับสถานการณ์ในแคมป์ที่เธออยู่อาศัยช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา หลังถูกระงับความช่วยเหลือทั้งทางด้านสาธารณสุข และอาหาร อูอู เล่าว่า คนในแคมป์บางส่วนลักลอบออกไปทำงานข้างนอก บางส่วนต้องจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่ จนบ้างถูกจับและถูกคุมขัง นั่นจึงทำให้ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 ที่ อนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ที่พักอาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในประเทศไทย สามารถขออนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายได้เป็นครั้งแรก โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 มีความหมายสำหรับคนในแคมป์มาก

ภาพภายในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่นายสอย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยอูอู

“มีคนในแคมป์อีกมากมายที่ไม่มีบ้านให้กลับที่เมียนมาแล้ว อยากจะให้เห็นใจ และเชื่อใจว่า ถ้าหากเรามีโอกาสได้ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พวกเราจะได้มีรายได้ในการดูแลตัวเองและครอบครัว และจะได้ไม่เป็นภาระแบมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอีกต่อไป”

อูอู กล่าวทิ้งท้าย ในขณะที่เธอต้องขอตัวพาลูกวัย 6 เดือนไปหาหมอที่โรงพยาบาล จากโรคปอดอักเสบ ว่าตอนนี้เธอต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดด้วยตนเอง จึงหวังว่าหากในอนาคตได้ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอหวังว่าจะได้รับสิทธิอยู่ในประกันสุขภาพ เพื่ออนาคตของลูกของเธอต่อไป

ไทยดึงดูดได้มากกว่าแรงงานไร้ฝีมือ

“คนในแคมป์ที่กำลังออกมาทำงานข้างนอก สุดท้ายแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ออกมาต้องกินต้องใช้ อีกทั้งคนในแคมป์ส่วนใหญ่ไม่มีครอบครัวอยู่ฝั่งเมียนมาแล้ว ดังนั้นเงินที่เขาได้รับจะหมุนเวียนอยู่ในประเทศไทย”

อ.วรพล ให้ความเห็นในช่วงท้ายๆ โดยยกตัวอย่าง อูอู ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่สามารถพัฒนาทักษะความสามารถได้ อีกทั้งยังมีทักษะทางด้านภาษา โดยมองว่า คนกลุ่มนี้มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากกว่ากลุ่มแรงงานไร้ทักษะ ในการเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ภาพภายในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านใหม่นายสอย อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยอูอู

สำหรับ ข้อกังวลที่คนไทยมองว่ากลุ่มแรงงานทักษะเหล่านี้จะเข้ามาแย่งงานคนไทย หรือไม่นั้น อ.วรพล ได้เปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาเอาไว้อย่างน่าสนใจ อ.วรพล กล่าวว่า แม้ปัจจุบันนโยบายภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีความเข้มงวดต่อแรงงานจากต่างประเทศ แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เปิดรับคนมีความสามารถจากหลายหลากวิชาชีพ และหลากหลายเชื้อชาติเข้าไป เพื่อช่วยพัฒนาประเทศให้เป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม

ดังนั้น กลยุทธ์การดึงดูดแรงงานมีฝีมือเข้ามายังประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับสังคมไทย ในวันที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้น แม้ว่าประเทศไทย จะไม่ได้มีปัจจัยดึงดูดคนเก่งจากประเทศอื่น เมื่อเปรียบเท่าประเทศพัฒนาแล้ว ทว่า ประเทศไทย ยังมีปัจจัยผลักจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ทำให้แรงงานมีฝีมือ และคนรุ่นใหม่ เลือกมองหาโอกาสการทำงานในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นหนทางของการยกระดับเศรษฐกิจไทย

“การมองว่าคนเหล่านี้จะมาแย่งงาน เป็นทัศนคติของคนที่ไม่พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ทั้งๆ ที่งานทุกวันนี้เกิดขึ้นใหม่มาทดแทนงานเก่าๆ อยู่ตลอดเวลา” อ.วรพล กล่าวทิ้งท้าย

Nathaphob WriterNathaphob

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
1 บาทของรัฐ สร้างมูลค่า 12 บาท? คุยถึง ‘เศรษฐศาสตร์ผู้ลี้ภัย’ กับ รศ.ดร.วรพล