“แค่อยากมีชีวิตเหมือนคนธรรมดา” ในวันที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงาน ไทยมองเป็น ‘โอกาส’ หรือปักป้าย ‘ภาระ’ ต่อไป?

“แค่อยากมีชีวิตเหมือนคนธรรมดา” ในวันที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงาน ไทยมองเป็น ‘โอกาส’ หรือปักป้าย ‘ภาระ’ ต่อไป?

“ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ เพื่อรอรับความช่วยเหลืออย่างเดียว แต่ฉันอยากใช้ศักยภาพ​ของตัวเอง​ ในการเลี้ยงดูครอบครัว” ความรู้สึกของ นอร์ มู ทู หนึ่งในผู้ลี้ภัยสงครามสู้รบเมียนมา ที่ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ในวันที่ได้โอกาสจากรัฐบาลไทย หลังเฝ้ารอโอกาสนี้มากว่า 20 ปี

 

ย้อนไป มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2568 ได้อนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ที่อยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง สามารถทำงานในประเทศไทย อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นครั้งแรก ในรอบ 41 ปี โดยมาตรการนี้ กำลังเกิดขึ้นจริงในวันนี้  (1 ต.ค. เป็นต้นไป)

และเช่นที่ผ่านมา ความคิดเห็นจำนวนหนึ่ง ที่มองว่า ไทยต้องแบกรับภาระให้กับกลุ่มคนเหล่านี้อีกครั้ง จึงตามมา เปิดประเด็นทั้ง  สิทธิการรักษาพยาบาล  สิทธิทางการศึกษาของบุตรหลานคนเหล่านี้ ไปจนถึงการแย่งงานในตลาดแรงงาน 

“เราสามารถมองเรื่องนี้เป็นภาระของสังคมไทยได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าการเติบโตของประเทศไทยทุกวันนี้ คือการได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจ และกำลังแรงงานที่อยู่ในภูมิภาคนี้ โดยใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก” เหตุใด  ศิววงศ์ สุขทวี เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ  และที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ TMR ถึงให้ความเห็นเช่นนี้อ

สำนักข่าว TODAY จึงถือโอกาสนี้ พูดคุยกับ ศิววงศ์ อีกครั้ง ว่าเมื่อเกิดขึ้นจริงแล้ว สังคมไทยจะขยับตัวอย่างไรถึงจะพอดี รวมถึงฟังเสียงผู้ประกอบการ และผู้ลี้ภัยเอง ที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงนี้โดยตรง 

 

[ จุดตั้งต้นนโยบายอนุญาตให้ทำงานได้ ครั้งแรกในรอบ 41 ปี ]

ศิววงศ์ เริ่มต้น อธิบายว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้ถูกขับเคลื่อน จากหน่วยงานรัฐ หรือภาคประชาสังคม เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงสนับสนุน จากภาคธุรกิจ ภายใต้สภาวะขาดแคลนแรงงานกัมพูชาในปัจจุบัน ที่ผ่านมา รัฐไทยเลือกที่จะจัดการคนกลุ่มนี้ ในรูปแบบให้อยู่ชั่วคราว หรือรอให้คนเหล่านี้เดินทางกลับประเทศ หรือไปประเทศที่สามเท่านั้น

จนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลง เมื่อต้นปี 2025 ภายใต้นโยบายการตัดความช่วยเหลือของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งผลต่อไทย ในการจัดการกับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ทั้ง 9 แห่งในไทย

“ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ พึ่งพิงงบประมาณความช่วยเหลือจากต่างประเทศ”

ศิววงศ์ เล่าว่า เมื่อถูกตัดความช่วยเหลือ จึงเกิดคำถาม สำหรับฝ่ายนโยบายและความมั่นคง ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถึงได้มีข้อเสนอหนึ่งของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในที่ประชุมสภาฯ คือ การทำให้คนกลุ่มนี้กลมกลืนไปกับสังคมไทย 

ประกอบกับ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. เกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้รัฐบาลกัมพูชา เรียกแรงงานกลับประเทศ ศิววงศ์ ประเมินตัวเลขว่าราว 4-5 แสนคนหายไปจากระบบ คิดเป็นกว่า 90% นำมาซึ่งความเสียหายของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเกษตรกรรมในภาคตะวันออก ที่พึ่งพิงแรงงานกัมพูชา จึงเกิดเป็นข้อเสนอจากภาคเกษตรกรรม ให้ดึงแรงงานจากส่วนใดก็ตามที่อยู่ในประเทศ ให้ได้ไวที่สุด ก่อนจะถึงฤดูเก็บเกี่ยวประจำปี

ภาพ: นอร์ มู ทู (Naw Mu Tu)

[ แรงงานขาดแคลน หนึ่งผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดน ]

“ผู้ประกอบการอยากจ้างแรงงานคนไทย แต่เหล่าชาวเน็ตต้องลงมาดูพื้นที่จริง คุณจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สังคมไทย ไม่มีวัยแรงงานอยากมาทำงานกรรมกรแล้ว”

เสียงจาก อโนทัย เนียมสำโรง นายกสมาคมชาวไร่อ้อยวังน้ำเย็น จ.สระแก้ว บอกกับสำนักข่าว TODAY อย่างตรงไปตรงมา ถึงสถานการณ์ชาวไร่อ้อยใน จ.สระแก้ว ตอนนี้ ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก สืบเนื่องจาก แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ และเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน ก่อนเข้าถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อย ช่วงเดือน ธ.ค. ถึง มี.ค. สำหรับชาวไร่อ้อยแล้ว 

ณ ตอนนี้ อโนทัย ให้ข้อมูลว่า ยังขาดแคลนแรงงานอยู่หลักหมื่นคน สำหรับจำนวนไร่อ้อยกว่า 5 แสนไร่ ที่สามารถใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวได้ มีเพียง 55-60% และชาวไร่อ้อยพยายามเลี่ยงการเผา เพื่อลด PM 2.5 ดังนั้นจึงต้องการใช้กำลังแรงงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

 “การอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในแคมป์ออกมาทำงานนั้น สามารถช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด”

ตัวแทนจากสมาคมชาวไร่อ้อยมองว่า แรงงานกลุ่มผู้ลี้ภัย ที่จะเข้ามาทดแทนแรงงานกัมพูชานั้น ยังขาดทักษะและความชำนาญในการทำงาน เมื่อเทียบกับแรงงานกัมพูชา ที่ทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี อีกทั้งงานไร่อ้อยเป็นงานหนัก เพราะต้องทำงานกลางแจ้ง 

แต่เมื่อไม่มีทางเลือก อโนทัย ยอมรับว่า โอกาสที่แรงงานกัมพูชา จะสามารถกลับมาทำงานได้ใน ระยะสั้นหรือกลาง นั้นเป็นไปได้ยาก ด้วยกังวลเรื่องความมั่นคง เธอจึงเสนอว่า การนำแรงงานผู้ลี้ภัย เข้ามาทดแทนดูเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุด 

โดยข้อมูลจากศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน ระบุว่า ผู้หนีภัยฯ สามารถยื่นขออนุญาตออกนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อทำงานในประเทศไทยได้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. โดยมีขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่

  1. ขออนุญาตออกนอกพื้นที่ควบคุม จากนายอำเภอหรือปลัดอำเภอ
  2. ตรวจสุขภาพและเข้าระบบประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
  3. ยื่นคำขออนุญาตทำงานทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเอกสารครบถ้วน โดยมีค่าธรรมเนียม 100 บาท และได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรก
  4. ได้รับใบอนุญาตทำงานอายุไม่เกิน 1 ปี สามารถทำงานได้ทุกประเภท ยกเว้นอาชีพที่กฎหมายห้ามคนต่างด้าวทำ

[ ผู้ลี้ภัยในแคมป์รู้สึกอย่างไร หลังได้รับโอกาสในการทำงาน ]

“ฉันรู้สึกขอบคุณประเทศไทยเป็นอย่างมาก มันคือโอกาสที่ฉันรอมานาน” นอร์ มู ทู (Naw Mu Tu) เป็นผู้หนีภัยการสู้รบ จากค่ายผู้ลี้ภัยบ้านแม่สุรินทร์ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีประชากรอยู่ในแคมป์ ราว 2,000 คน 

เธออยู่ที่แคมป์แห่งนี้มา 24 ปีแล้ว เคยทำงานร่วมกันกับโบสถ์ และทำงานเป็นล่าม รวมทั้งมีทักษะในการสอนเด็กเล็ก จากเดิม นอร์ มู ทู  เคยมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 3,000 บาท และได้รับการสนับสนุนข้าวสาร อาหารแห้งจาก The Border Consortium – TBC แต่ในปัจจุบัน องค์กรเหล่านี้หยุดให้ความช่วยเหลือ นอร์ มู ทู สูญเสียทั้งงาน และความช่วยเหลือที่เคยได้รับ

“ฉันแค่อยากมีชีวิต ​เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง” นอร์ มู ทู ย้ำ ตลอดหลายปี คนในแคมป์พยายามดิ้นรนออกไปทำงานนอกค่าย ด้วยการติดสินบนเจ้าหน้าที่ ตามคำบอกเล่าของนอร์ มู ทู เพราะพวกเขารู้ดีว่า การรอคอยความช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่เคยพอ  จึงต้องดิ้นรนหาทางออกไปทำงานอยู่ข้างนอกเสมอ

“ฉันไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ เพื่อรอรับความช่วยเหลืออย่างเดียว แต่ฉันอยากใช้ศักยภาพ​ของตัวเอง​ ในการเลี้ยงดูครอบครัว”

ภาพ: นอร์ มู ทู (Naw Mu Tu)

นอร์ มู ทู เอง ก็เป็นคนหนึ่งอยากกลับไปทำงานอีกครั้ง อยากใช้ทักษะทางด้านภาษา และการสอนที่มี มากกว่าการเป็นแค่แรงงานไร้ฝีมือ ด้วยพื้นฐานที่เธอเรียนจบการศึกษา ระดับปริญญา จาก KKBBSC (Kawthoolei Karen Baptist Bible School & College) ที่เปิดสอนภายในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ บ้านแม่หละ จ.ตาก การเป็นครูสอนเด็กเล็ก จึงเป็นหนึ่งในฝัน

“ฉันไม่ได้ต้องการงานอะไรใหญ่โต ให้ฉันได้มีโอกาสไปสอนเด็กในหมู่บ้านเล็กๆ เด็กพม่าก็ได้ หรืออะไรก็ได้ ที่ฉันได้ใช้ทักษะที่ตัวเองมี”

เธอเล่าว่า ปัจจุบันทางคณะกรรมการกู้ภัยระหว่างประเทศ ( IRC ) ได้หยุดให้ความช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุขกับคนในแคมป์แล้ว  ‘ต่อจากนี้ผู้ลี้ภัยต้องรับผิดชอบตัวเอง เวลาเจ็บป่วยหรือไม่สบาย’ เสียงตามสายประกาศไปทั่ว ดังนั้น โอกาสในการได้ทำงาน จึงมีความหมาย สำหรับ นอร์ มู ทู และคนอื่นๆ ภายในแคมป์มาก  

“ถ้าทำงานได้เงินมา ฉันจะแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนแรกไว้สำหรับซื้ออาหาร ส่วนที่สองฉันจะเก็บเอาไว้ในยามที่ลูกฉันป่วย ส่วนที่สามคือการศึกษาของลูกฉัน”

โดยนอร์ มู ทู หวังว่าโอกาสในการทำงานที่คนในแคมป์จะได้รับนั้น จะไม่ปิดกั้นเพียงแค่งานไร้ทักษะหรือการเป็นกรรมกรเพียงอย่างเดียว เพราะคนในแคมป์ยังมีคนที่มีความสามารถและได้รับการศึกษา เธอเชื่อมั่นว่าทักษะต่างๆ ที่คนเหล่านี้มีความสามารถช่วยบูรณาการให้เข้ากับสังคมไทยได้

“อยากให้มองถึงคนที่มีทักษะอื่นๆ ด้วย และอย่างน้อยขอให้พวกเราได้มีชีวิตที่ถ้าป่วยก็สามารถเดินไปหาหมอได้ อยากเรียนหนังสือก็ไปโรงเรียนได้”

ตอนท้าย นอร์ มู ทู ยังเล่าถึง งแผนการชีวิตว่า สำหรับคนในแคมป์ ความฝันสูงสุด คือ การได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศที่สาม ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากอยู่ประเทศไทย แต่โอกาสในการได้สถานะพลเมืองถูกต้องตามกฎหมายในไทยแทบไม่มีเลย 

อย่างไรก็ดี นอร์ มู ทู อยากขอบคุณประเทศไทย ที่ให้เธออยู่อาศัยในพื้นที่นี้ และตอนนี้ยังให้โอกาสพวกเธอได้ทำงานข้างนอก

“เราอยู่ที่นี่มานานแล้ว บ้านก็ไม่มีให้กลับแล้ว ​จะไปต่อก็ไปไม่ได้ หากมองในมุมมอง​คนไทย ก็เข้าใจเหมือนกัน ที่กลัว ว่าพวกเราจะมาแย่งงาน​ แต่สิ่งที่พวกเราทำได้ คือ ขอความเห็นใจ และขอโอกาส​เพียงเท่านั้น

[ จริงหรือไม่ ที่คนในแคมป์จะแย่งงานคนในพื้นที่? ]

“ผมคิดว่าการให้คนในแคมป์ออกมาทำงาน ไม่กระทบกับคนไทย เพราะว่าที่แม่สอดเองก็มีแรงงานของตัวเองอยู่แล้ว คนไทยเองก็มีงานของเขา ส่วนใหญ่ทำงานเป็นหัวหน้างาน อาชีพอิสระ ขายของ และเป็นผู้ประกอบการ”

ในฐานะเจ้าของกิจการที่พักใน อ.แม่สอด ซึ่งห่างจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ บ้านแม่หละ จ.ตาก ประมาณ 1 ชั่วโมง นพรัตน์ รู้ทำนอง บอกเล่าถึงความคิดเห็นส่วนตัว

นพรัตน์ เล่าว่า ลูกจ้างที่ทำงานกับเขาอยู่ทุกวันนี้ เป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในแคมป์มาก่อน ดังนั้น สำหรับนพรัตน์ ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับนโยบายนี้มากนัก เพราะมองว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มีคนทำงานประจำของตัวเองอยู่แล้ว “ผมเห็นด้วยกับการให้คนเหล่านี้ ออกมาทำงานอย่างถูกต้องถามกฎหมาย ดีกว่าลักลอบออกมาทำงานเหมือนที่ผ่านมา”

การที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้สามารถทำงานได้ตามกฎหมาย นั่นหมายความว่า จะมีเงินเข้าสู่ระบบและเป็นรายได้ของรัฐ มากกว่าการให้คนเหล่านี้ เป็นแรงงานนอกระบบ และถูกขูดรีดจากระบบส่วย 

ภาพ: นอร์ มู ทู (Naw Mu Tu)

แล้วทำไมสถานประกอบการ ถึงไม่เลือกจ้างคนไทย? นพรัตน์ตอบคำถามนี่เอาไว้ ด้วยการยกตัวอย่างครั้งเปิดกิจการใหม่ๆ

นพรัตน์ เล่าว่า แรกเริ่มต้องการคนไทยมาทำงาน เพราะคิดว่าสื่อสารกันได้ง่าย แม้ว่าจะต้องจ่ายค่าจ้างแพงกว่าก็ตามที แต่ปรากฏว่า เมื่อทำการเปิดรับสมัคร และได้คนมาทดลองงานเพียง 1 วัน วันต่อมาลูกจ้างชาวไทยกลับไม่มาทำงาน ก่อนจะพบไปทำงานกับที่อื่น ทั้งที่ตกลงเรื่องสัญญาจ้างกันเรียบร้อยแล้ว

“มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เกือบทุกครั้งมักลงเอยแบบนี้…มันทำให้ผมเข็ดกับการจ้างงานคนไทย และจ้างแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านคุยกันง่ายกว่า” นพรัตน์ กล่าวถึงประสบการณ์จ้างงานคนไทย ที่ไม่น่าประทับใจเสียเท่าไหร่ 

แม้ว่า มติคณะรัฐมนตรีฯ จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป แต่ทางนพรัตน์ กลับมองว่า นายจ้างในชายแดนฝั่งตะวันตก ไม่ได้ขาดแคลนแรงงานขนาดนั้น เพราะมีกำลังแรงงานจากประเทศเมียนมาเข้ามาทดแทนอยู่ ต่างกับทางฝั่งตะวันออก ที่กำลังขาดแคลนแรงงานกัมพูชาที่หายไป เขาจึงคิดว่าแรงงานกลุ่มนี้ จะเป็นที่ต้องการสำหรับนายจ้างในฝั่งตะวันออกมากกว่า 

“การจ้างแรงงานคนไทย เป็นเรื่องจนปัญญาของนายจ้างจริงๆ” คำพูดของ อโนทัย ก็ดูไปในทิศทางเดียวกันกับ นพรัตน์

“มีคนไทยบ้างที่เข้ามาสมัครงานเช่น งานขับรถ คุมเครื่องจักร บินโดรน คนไทยจะทำงานในลักษณะนี้ แต่งานกรรมกรในไร่ ตั้งแต่ตัดอ้อย ปลูกอ้อย รดน้ำอ้อย หาแรงงานคนไทยทำยากมาก”

อโนทัย สะท้อนความกังวลในฐานะตัวแทนสมาชิกชาวไร่อ้อย ที่มีอยู่เกือบ 2,000 คน ใน จ.สระแก้ว  ที่ยังคงต้องพึ่งพาแรงงานจะประเทศเพื่อนบ้าน

“ถ้าขาดแคลนแรงงานเหล่านี้ไป ความเสียหายของภาคเกษตรหลีกเลี่ยงไม่ได้ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน มีความสำคัญในภาคการเกษตรของไทยมาก ทุกวันนี้นายจ้างนอนกันไม่หลับแล้ว เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว วันนี้เราหวังว่าจะสามารถหาแรงงานมาทดแทนแรงงานกัมพูชาได้ทัน”

ขณะที่ ศิววงศ์ เชื่อมั่นว่า นโยบายดังกล่าว จะส่งผลดีต่อหลายภาคส่วน ตั้งแต่ภาคธุรกิจ ในการได้แรงงานมาทดแทนแรงงานกัมพูชา ภาครัฐก็จะสามารถลดภาระช่วยเหลือ อีกทั้งข้อมูลปรากฏชัดเจนว่า ยิ่งสังคมไทย ทำให้การทำงานถูกต้องตามกฎหมาย ครอบคลุมได้มากเท่าไหร่ ขบวนการนอกกฎหมาย การนำพาค้ามนุษย์ การทุจริตเรียกรับสินบน จะลดลงไปโดยปริยาย 

“กระบวนการทำงานถูกต้องตามกฎหมาย คือการดึงนำเงินที่เคยอยู่นอกระบบ ในธุรกิจผิดกฎหมายกลับเข้ามาให้ประเทศชาติ”  ศิววงศ์กล่าว

ในฐานะที่ทำงานกับแรงงานข้ามชาติมาต่อเนื่อง ศิววงศ์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ลี้ภัยการสู้รบ ในศูนย์พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง จำนวน 77,000 คน ถึงวันนี้ พวกเขาอยู่กับสังคมไทยมานาน 40 ปี หลายคนเกิดที่นี่ มีเพื่อนฝูง มีญาติมิตรอยู่ในประเทศไทย และในประเทศที่สาม พวกเขาไม่ใช่คนที่มีความแตกต่างเชิงวัฒนธรรม กับคนไทยโดยสิ้นเชิง ในเชิงวัฒนธรรมและสังคม  ในทางกลับกัน คนเหล่านี้ กลมกลืนอยู่ในท้องถิ่นบริเวณชายแดนมานาน ไม่แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ที่วันนี้ได้รับการยอมรับจากสังคมไทย

Nathaphob WriterNathaphob

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง