
วันที่ 30 เม.ย.63 ทางกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) และองค์กรได้เปิดเผยข้อมูลจากงานวิจัยดังกล่าวจัดทำโดยกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับอาเวอนีร์ เฮลท์ (Avenir Health) สถาบันด้านสุขภาพของสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยวิกตอเรียของออสเตรเลียที่ระบุว่าการปิดเมืองและการหยุดชะงักครั้งใหญ่ของบริการสุขภาพในช่วงที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แพร่ระบาด อาจส่งผลให้มีหญิงตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจถึง 7 ล้านคนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
โดยข้อมูลจากการคาดการณ์พบว่าจำนวนของหญิงที่ไม่สามารถเข้าถึงการวางแผนครอบครัวหรือเผชิญกับการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ ความรุนแรงเกี่ยวกับเพศ และการปฏิบัติที่เป็นอันตรายอื่นๆ อาจพุ่งสูงขึ้นหลายล้านคน เนื่องจากวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ ด้าน ดร.นาตาเลีย คาเนม ผู้อำนวยการกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) กล่าวว่า “ข้อมูลชุดใหม่แสดงให้เห็นผลกระทบอย่างรุนแรงที่โรคโควิด-19 อาจส่งถึงผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลกในเร็วๆ นี้ การระบาดใหญ่ทำให้ความเหลื่อมล้ำถลำลึกยิ่งขึ้น ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงอีกหลายล้านคนตกอยู่ในความเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการวางแผนครอบครัวและปกป้องสุขภาพร่างกายของตนเอง“
ทางกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติระบุว่ามีผู้หญิงจากประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง 114 แห่งทั่วโลก ประมาณ 450 ล้านคน ใช้ยาคุมกำเนิดอยู่ นอกจากนี้ยังได้คาดการณ์ว่า หากบริการสุขภาพยังหยุดชะงักและการปิดเมืองยืดเยื้อไปอีก 6 เดือน อาจมีผู้คนในกลุ่มประเทศข้างต้นราว 47 ล้านคน ที่ไม่สามารถเข้าถึงการคุมกำเนิดที่ทันสมัย ส่งผลให้มีการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจราว 7 ล้านคน
นอกจากนั้นจะเกิดเหตุความรุนแรงเกี่ยวกับเพศเพิ่ม 31 ล้านกรณีในช่วงเวลาเดียวกัน โดยคาดว่าทุกการยืดระยะเวลาปิดเมืองออกไป 3 เดือน จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น 15 ล้านครั้ง ขณะเดียวกันจะเกิดการแต่งงานในเด็กอีก 13 ล้านครั้งในช่วงทศวรรษนี้ เนื่องจากวิกฤตครั้งนี้ได้ขัดขวางความพยายามหยุดยั้งธรรมเนียมดังกล่าว









