แกะสูตร ‘ศุภจี โมเดล’ บริหารรัฐด้วย DNA เอกชน แก้เกมการค้า ปัญหาปากท้อง

แกะสูตร ‘ศุภจี โมเดล’ บริหารรัฐด้วย DNA เอกชน แก้เกมการค้า ปัญหาปากท้อง

การเงิน

หลังจากวันที่ 29 ก.ย. 2568 เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็น ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ อภิปรายในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ นโยบายของเธอได้การยอมรับอย่างรวดเร็วจากประชาชน 

ซึ่งเมื่อก้าวเข้าสู่บทบาทรัฐมนตรี เธอจึงนำ “DNA ของเอกชน” มาผสมกับ “ระบบราชการ” ทำให้ได้นโยบายแก้ไขเศรษฐกิจในระยะ 4 เดือนภายใต้แนวทาง “Quick Big Win”ค่อนข้างชัดเจนและเร็ว TODAY Bizview จะมาสรุปให้ครบจบผ่านบทความนี้ว่ามีอะไรบ้าง?

[ เร่งเจรจากับสหรัฐฯ หาความชัดเจนด้านส่งออก ]

‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ หยิบเรื่องแรกออกมาอภิปรายคือการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเธออธิบายผ่านข้อมูลตัวเลขว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับต้นๆ ของไทย โดยคิดเป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และมีความสำคัญมากเพราะไทยพึ่งพาการส่งออกถึงกว่า 60% ของ GDP

ฉะนั้น แค่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก็คิดเป็น 10% ของ GDP ไทยแล้ว กระทรวงพาณิชย์จึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการรักษาและขยายตลาดนี้

โดยหนึ่งในนโยบายหลักคือการเร่งเจรจา Agreement on Reciprocal Tax (ART) เพื่อสร้างความชัดเจนด้านภาษีการค้า และตั้งเป้าเจรจาให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ส่งออกไทย ลดอุปสรรคด้านกฎหมายและภาษี และรักษาความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างเวียดนามและเม็กซิโก

กระทรวงฯ ยังร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการแก้ปัญหาสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) เพื่อไม่ให้สินค้าไทยถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษี พร้อมใช้เทคโนโลยี Smart Certificate of Origin ตรวจสอบย้อนกลับได้เต็มระบบ ซึ่งช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ

ในด้านการเยียวยา กระทรวงฯ ปรับขั้นตอนปกป้องผู้ประกอบการไทยให้เร็วขึ้น เช่น ลดเวลาการรับคำร้องทุ่มตลาดจาก 4 เดือนเหลือ 1 เดือน และลดกระบวนการไต่สวนจาก 12 เดือนให้เหลือ 9 เดือน พร้อมใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกมาตรการตอบโต้ทางการค้า

นอกจากนี้ การผลักดันสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวและอาหาร ก็เป็นอีกเป้าหมายหลัก มีการเจรจา G2G กับญี่ปุ่นและจีนเพื่อรักษาสัดส่วน แต่ตลาดสหรัฐฯ ก็ยังเป็นโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแปรรูป และสินค้าไทยที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอเมริกันที่ใส่ใจสุขภาพ

[ แก้ปัญหานอมินี บังคับเก็บ VAT ]

สำหรับมาตรการแก้ปัญหาสินค้าทะลักและธุรกิจนอมินี (หรือธุรกิจที่ตั้งชื่อในนามผู้อื่น แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง) โดยจะเน้นการบูรณาการกับ 16 หน่วยงานรัฐ บังคับจัดเก็บ VAT สินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เพื่อเพิ่มรายได้กว่า 2,175 ล้านบาท และตรวจสอบสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมายกว่า 17,000 รายการ ขณะเดียวกันก็ติดตามธุรกิจนอมินีใน 7 ประเภทธุรกิจ มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท

เพื่อเสริมศักยภาพ SMEs มีมาตรการช่วยเหลือ 6 ด้าน เช่น สนับสนุนเงินทุน 10,000 บาทต่อรายสำหรับซื้อแพลตฟอร์มดิจิทัล ลดค่าใช้จ่ายด้านอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ สนับสนุนสินค้า GI และ Thai Select เชื่อมโยงเข้าถึงแหล่งทุน 

[ ขยายโครงการธงฟ้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ]

ด้านค่าครองชีพ กระทรวงพาณิชย์มองว่า ต้องการขยายโครงการธงฟ้า โดยจัดกิจกรรมนี้กว่า 1,300 ครั้งต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน พร้อมข้อตกลงกับโรงพยาบาลเอกชนให้ประชาชนทราบราคายาก่อนซื้อ และสามารถเลือกซื้อภายนอก ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้กว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี

ในส่วนของสินค้าเกษตร กระทรวงฯ ใช้ข้อมูลและ AI ประเมินอุปสงค์-อุปทานล่วงหน้า ผลักดันการส่งออกและการแปรรูป เพิ่มมาตรการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และส่งเสริมสายพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพ มาตรการเร่งด่วน 4 เดือนครอบคลุมโครงการลดต้นทุนปุ๋ย สินเชื่อชะลอการขาย และเงินช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง 

นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย สนับสนุนค่าขนส่งสินค้าเกษตรกรฟรี (แบ่งกันรับภาระคนละครึ่ง) เพื่อส่งสินค้าไปทั่วประเทศ

สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีมาตรการลดค่าครองชีพ สนับสนุนการขนส่งสินค้าเกษตรฟรีครึ่งหนึ่ง จัดมหกรรมการค้าชายแดน และหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านแดนให้แก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรในพื้นที่

และสุดท้ายส่วนของขับเคลื่อนข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเสริมศักยภาพการส่งออกซึ่งมีสัดส่วนถึง 60% ของ GDP โดยปัจจุบันไทยมี FTA 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ และล่าสุดได้ลงนาม FTA กับ EFTA ถือเป็นครั้งแรกกับกลุ่มยุโรป ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญต่อการเจรจากับสหภาพยุโรป (EU) ต่อไป ขณะเดียวกันรัฐบาลตั้งเป้าเร่งรัดข้อตกลงกับ EU และเกาหลีใต้ให้สำเร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ 

พร้อมผลักดันให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และตลาดทุนไทย พร้อมหาตลาดใหม่ในประเทศที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, เอเชียใต้ และอาเซียน เพื่อกระจายโอกาสทางการค้าและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดิม

ทั้งหมดนี้ก็คือ ชุดนโยบายที่สะท้อน DNA เอกชนผสมผสานกับระบบราชการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเร่งเจรจาการค้าและปกป้องตลาดสหรัฐฯ การจัดการปัญหานอมินีและภาษี การดูแลค่าครองชีพผ่านโครงการธงฟ้าและการเชื่อมโยงกับภาคสาธารณสุข และอื่นๆ 

แนวทางของศุภจี ไม่ได้หยุดเพียงการวางนโยบาย แต่เน้นลงมือทำอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายชัดเจน และพร้อมมี KPI ให้ประชาชนสัมผัสได้จริง

“ท่านผู้มีเกียรติ ด้วยความเคารพ รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวมถึงดิฉันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความตั้งใจอย่างเต็มที่ แม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือน แต่ก็เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ให้ปรากฏเป็นรูปธรรม และสะท้อนออกมาเป็นตัวชี้วัด (KPI) ให้ท่านได้เห็นอย่างชัดเจน” ศุภจี กล่าวปิดท้าย

AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง