คนไทยมากกว่า 1 ใน 3 เป็นหนี้ เพราะรายได้ไม่เพิ่ม แต่รายจ่ายยังคงเดิม หรือบางทีก็มากขึ้นจนเงินไม่พอ หลายคนเลยเลือก กู้เงินมาโปะ เพื่อปิดช่วงที่เงินขาด ทำไปทำมาก็กลายเป็นวงจรที่ออกยากกว่าเดิม
ครั้งนี้ TODAY Bizview ชวน ‘เคน – จักรกฤษณ์ กิจการรัฐบุตร’ ผู้ร่วมก่อตั้งเพจ Money Buffalo มาถอดปัญหาการเงินของคนไทยจากประสบการณ์จริงที่อยู่ใกล้ผู้คนที่กำลังมีปัญหา เพราะกว่า 90% ของข้อความที่ส่งถึงในเพจคือเรื่องหนี้ ไม่ใช่การลงทุน
[ เศรษฐกิจแบบน้ำซึมบ่อทราย ]
‘เคน’ เล่าว่า สิ่งที่อันตรายที่สุดของเศรษฐกิจตอนนี้ คือมันไม่ได้ตกแบบโครมเดียวเหมือนตอนโควิด แต่รอบนี้มันเหมือน ‘น้ำซึมบ่อทราย’ ลงเรื่อยๆ ช้าๆ ทุกเดือน แต่ไม่ดีดกลับ
รายได้ของคนจำนวนมากนิ่งสนิท ยอดขายของร้านค้าและธุรกิจออนไลน์ตกลง ทั้งที่ของไม่ได้แพงขึ้นแบบเว่อร์วัง แต่รายได้คนไม่ขยับเลย หลายตัวเลขตอนนี้ ต่ำกว่าช่วงโควิดด้วยซ้ำ และไม่มีสัญญาณดีขึ้นอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นภาคธุรกิจไม่ได้ปลดคน แต่หยุดรับคนใหม่ ซึ่งทำให้เด็กจบใหม่และคนที่อยากย้ายงานเจอทางตัน ดังนั้น มองว่าถ้าระเบิดลูกแรก ซึ่งคือการปลดงานจำนวนมากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะตามด้วยลูกที่สองและสามทันที และเศรษฐกิจที่จะกำลังฟื้นอาจจะเลื่อนออกไปอีก
[ คนจำนวนมากเริ่มหันไปพึ่งการกู้ ]
เมื่อรายได้และรายจ่ายไม่บาลานซ์กัน รายได้หยุดนิ่ง แต่ค่าครองชีพไม่เคยหยุดขึ้น เวลาเงินไม่พอ คนยุคนี้มีวิธีแก้ที่เร็วที่สุดคือ ‘กู้’ และการกู้ก็ง่ายกว่าเดิมมาก
มีทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล แอปกู้ Pay Later เต็มไปหมดบางทีเราไม่ได้ขอ แต่มีคนโทรเสนอสินเชื่อให้ถึงที่แทบทุกวัน นี่คือเหตุผลว่าทำไม 9 ใน 10 ของคนที่ทักมาที่เพจคือปรึกษาเรื่อง ‘หนี้’ ไม่ใช่การลงทุนหุ้นหรือคริปโตเลย
‘เคน’ บอกว่า “คนที่พร้อมลงทุน คือคนส่วนน้อยมากในช่วงนี้ แต่คนที่หมดแรงจากหนี้เยอะจนล้น” ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของแบงก์ชาติและเครดิตบูโร ที่ชี้ตรงกันว่าหนี้ครัวเรือนไทยยังเดินขึ้นแบบไม่หยุด
[ กู้เงินยุคใหม่ ครีเอทีฟมาก แต่เสี่ยงมหาศาล ]
‘เคน’ เล่าว่าเคยเจอเคสแปลกๆ มามากเพราะทำเพจมานาน และมันก็สะท้อนความจริงว่า คนไทยกำลังดิ้นเพื่อสภาพคล่องรายวัน ตัวอย่างที่ชัดมากก็คือ ‘กรุ๊ปจ่ายค่าไฟ’ ใน Facebook
บางคนค่าไฟ 2,000 บาทไปโพสต์ขอให้คนจ่ายให้ แล้วโอนคืน 1,600 บาททันที ผู้จ่ายก็เอาบิลไปผ่อน Pay Later 3 เดือน ผู้โพสต์ได้เงินสด 1,600 บาททันที ผู้จ่ายได้เงินไปหมุนทันที แต่ปัญหาคือ ดอกซ่อน ดอกบาน วงเงินติด และสุดท้ายเป็นหนี้ทับซ้อนเร็วมาก
หรืออีกเคสสุดยอด ‘ครีเอทีฟการเงิน’ ที่เคยเจอคือใช้บัตรเครดิตรูด iPhone 0% เอาเครื่องไปขายและเอาเงินสดไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์ คือเปลี่ยนบัตรเครดิตให้กลายเป็นเงินสดแบบไม่ต้องกู้นอกระบบ
ดูเหมือนฉลาด แต่ถ้าติดนิสัยนี้ จะกลายเป็น รูด 1 โปะ 2 โปะ 3 จนปิดไม่ทัน นี่แหละเหตุผลว่าทำไม คนเงินเดือน 20,000 บาท สามารถมีหนี้หลักแสนได้ง่ายมาก
[ คนรายได้สูงมีปัญหาการเงินหนักกว่าที่คิด ]
‘เคน’ บอกว่า คนกลุ่มรายได้ 70,000–80,000 บาทต่อเดือน คือ กลุ่มที่เจอปัญหาหนี้หนักมากเหมือนกัน สาเหตุไม่ใช่เพราะเงินไม่พอ แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความสามารถที่ ‘อันตรายมาก’ อย่างหนึ่งคือ การปรับตัวตามรายได้
รายได้เพิ่ม ไลฟ์สไตล์เพิ่มตาม กินดีขึ้น รถแพงขึ้น ของใช้ดีขึ้นสังคมรอบตัวดูดีขึ้นและเมื่อความสามารถในการกู้สูงขึ้น ภาระก็ใหญ่ขึ้นตาม กลุ่มฟรีแลนซ์ก็ยิ่งเข้าไม่ถึงสินเชื่อปกติ ต้องไปพึ่ง Pay Later และสินเชื่อดอกรายวัน ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าทั้งหมดนี้ทำให้ ‘รายได้เยอะ’ ไม่ได้แปลว่า ‘การเงินดี’
[ สมองมนุษย์ = สาเหตุที่ใช้เงินเกินตัวแบบไม่รู้ตัว ]
ถ้าเราความเข้าใจเรื่อง ‘สมอง’ จะช่วยอธิบายพฤติกรรมเงินของมนุษย์ได้ดีมาก สมองมี 2 ส่วนที่ต่อสู้กันทุกวัน คือ
1) Hypothalamus : โหมดอารมณ์ อยากเดี๋ยวนั้น
2) Prefrontal Cortex : โหมดเหตุผล วางแผน ยับยั้ง
โดยเฉพาะเวลาหิว เหนื่อย เครียด หรืออยากของอะไรแรงๆโหมดอารมณ์ชนะทันที เหมือนเราเดินผ่านบุฟเฟ่ต์ตอนหิว ทั้งที่รู้ว่ากินมากไม่ดี แต่ก็อดไม่ได้ เรื่องเงินก็เหมือนกัน การกดซื้อของ ไม่ได้เริ่มจากเหตุผล แต่เริ่มจาก ‘อารมณ์อยาก’
ซึ่งวิธีที่แนะนำที่น่าจะได้ผลที่สุดที่จะจัดการกับอารมณ์เหล่านีเ คือ ‘พักก่อน’ อย่าเพิ่งซื้อ เช่น ของทั่วไป ควรพักคิดก่อน 5–7 วัน หรือของชิ้นใหญ่ เช่น รถ บ้าน ควรพักคิดก่อน 3–6 เดือน เพราะเกิน 80–90% ของสิ่งที่อยากได้ พอเวลาผ่าน เราจะไม่อยากแล้ว เหลือแต่ความต้องการจริงๆ
[ คนที่ยังไหว กับคนที่เริ่มไม่ไหว วางแผนกันคนละแบบ ]
กลุ่มที่เป็นหนี้ปัจจุบันต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ และต้องใช้คนละแนวทางในการแนะนำเพื่อแก้ไขต่างกัน ได้แก่
1. กลุ่มที่ยังประคองได้ ควรโฟกัสที่ ‘สภาพคล่อง’ ให้มากที่สุดเก็บสำรองเงิน 12 เดือนชะลอการลงทุนเสี่ยง ชะลอการทำธุรกิจใหม่ และไม่ควรขยายภาระ เพราะตอนเศรษฐกิจแผ่วแบบนี้ ต้องอยู่ให้รอดก่อนไม่ใช่ลุยก่อน
2. กลุ่มที่เริ่มไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ต้องหยุดทันทีคือ หยุดกู้เพิ่มเพราะมันคือ ‘ขว้างงูไม่พ้นคอ’ ดีขึ้นแค่ชั่วคราว แต่จะกลับมารัดหนักกว่าเดิม
ที่สำคัญกลุ่มนี้ต้องเปิดตัวเลขทั้งหมดตรงๆ ปรับรายจ่าย ลดภาระ พูดคุยกับครอบครัวและอาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านหนี้แบบเคสบายเคส “วิธีแก้หนี้ไม่มีทางลัด ไม่มีดีดนิ้วแล้วหาย ต้องค่อย ๆ ปรับทั้งรายรับรายจ่ายและพฤติกรรม”
สุดท้าย ‘เคน’ มองว่า เศรษฐกิจขาลงไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือช่วงที่คนบางคนโตเร็วที่สุด เพราะเศรษฐกิจขึ้นลงเป็นเรื่องปกติ แต่การยืนระยะในช่วงลง คือสิ่งที่ต่างกันระหว่างคนที่ ‘อยู่รอด’ กับคนที่ ‘เติบโต’ คนที่ทำกำไรได้ 10 เท่า
ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตอนเศรษฐกิจดีแต่ทำตอนเศรษฐกิจไม่ดี เพราะโอกาสที่ถูกมองข้ามซ่อนอยู่เต็มไปหมด ใครที่รักษาวินัย รักษาสภาพคล่องและรอจังหวะได้ จะเป็นกลุ่มที่ ‘ขึ้นแรงที่สุด’ เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง










