ผอ.โครงการอาหาร UN ชี้ ทรัพย์สิน 2% ของ ‘อีลอน มัสก์’ ช่วยแก้ปัญหาความอดอยากของโลกได้

ผอ.โครงการอาหาร UN ชี้ ทรัพย์สิน 2% ของ ‘อีลอน มัสก์’ ช่วยแก้ปัญหาความอดอยากของโลกได้

หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 25 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา ทรัพย์สินของมหาเศรษฐีโลกอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ เพิ่มขึ้นถึง 2.56 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวันเดียว จากข่าวบริษัทให้เช่ารถยนต์ Hertz ประกาศแผนซื้อรถเทสลา 100,000 คัน ซึ่งทำให้หุ้นเทสลาพุ่งกระฉูดจนหนุนให้อีลอน มัสก์ รวยขึ้นไปด้วย

ล่าสุด CNN ได้สัมภาษณ์ ‘เดวิด บีสลีย์’ ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลก (WFP) ของสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันอังคารที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา ถึงกรณีความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี 2 คน คือ อีลอน มัสก์ และเจฟฟ์ เบซอส

โดยเดวิด บีสลีย์ ระบุว่า “ทรัพย์สินเพียงเศษเสี้ยวของมหาเศรษฐีกลุ่มเล็กๆ ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาความอดอยากของโลกได้”

“ตอนนี้มหาเศรษฐีต้องก้าวเข้ามามีบทบาท เพียงครั้งเดียวก็ได้”

เขายังกล่าวอีกว่า “เงิน 6 พันล้านเหรียญ ช่วยผู้คน 42 ล้านคนที่อาจจะตายได้หากเราเข้าไปไม่ถึงพวกเขา เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเลย”

ทั้งนี้ บลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้บริหารระดับสูงของเทสลาอย่างอีลอน มัสก์ มีทรัพย์สินอยู่ที่ราว 2.89 แสนล้านเหรียญ นั่นหมายความว่าบีสลีย์ขอบริจาคเพียง 2% ของทรัพย์สินของมัสก์

ขณะที่รายงานของ Institute for Policy Studies และ Americans for Tax Fairness ระบุว่า มูลค่าความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่การระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น โดยอยู่ที่ 5.04 ล้านล้านเหรียญในเดือน ต.ค.

บีสลีย์กล่าวอีกว่า วิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องเผชิญกับปัญหา ‘ภาวะความอดอยาก’

รายงานของ WFP เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรอัฟกานิสถานที่มีอยู่ 22.8 ล้านคน กำลังเผชิญกับวิกฤตความอดอยากอย่างรุนแรง

รายงานยังสรุปอีกว่า อัฟกานิสถานยังเผชิญปัญหาการว่างงานและวิกฤตสภาพคล่องอย่างหนัก และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ นั่นหมายความว่า อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่กำลังเผชิญกับวิกฤตด้านมนุษยธรรม และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 3.2 ล้านคน กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

นอกจากนี้ รายงานชุดใหม่จากฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกคำเตือนอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะแผ่กว้าง และจะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล

ในรายงาน ฝ่ายบริหารให้รายละเอียดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขับเคลื่อนการย้ายถิ่นฐานอย่างไร ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการย้ายถิ่นฐานอย่างเป็นทางการ

ขณะที่ที่ผ่านมา WFP ได้เตือนเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจำนวนมากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ‘Dry Corridor’ ในอเมริกากลาง

“ยกตัวอย่างพื้นที่ Dry Corridor ในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคในอเมริกากลาง เช่น กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เอลซัลวาดอร์ และนิการากัว” บีสลีย์กล่าว และว่า “เรากำลังมอบอาหารให้ผู้คนจำนวนมากที่นั่น แต่สภาพอากาศก็กำลังเปลี่ยนแปลงด้วยพายุเฮอร์ริเคนและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งมันทำลายล้างสิ่งต่างๆ”

ในเอธิโอเปีย WFP ประมาณการว่า 5.2 ล้านคน กำลังต้องการความช่วยเหลือด้านอาหารอย่างเร่งด่วนในภูมิภาค Tigray หลังเกิดปัญหาความขัดแย้งในประเทศตั้งแต่ปีที่แล้ว จนพลเรือนหลายพันคนถูกสังหาร ในขณะที่มากกว่า 2 ล้านคนต้องพลัดถิ่น

ซึ่งองค์กรด้านมนุษยธรรมเช่น WFP ได้พยายามดิ้นรนเพื่อจัดหาสิ่งของให้กับผู้ยากไร้ในภูมิภาคดังกล่าว แต่วิกฤตก็ทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ที่เพียงพอ

“ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปเอาอาหารมาจากไหน น้ำมันเราหมด เงินสดที่จะจ่ายให้พนักงานก็หมด เงินสำหรับใช้จ่ายอื่นก็หมด ทั้งยังไม่สามารถนำรถบรรทุกเข้าไปได้” บีสลีย์กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์

ที่มา: https://edition.cnn.com/2021/10/26/economy/musk-world-hunger-wfp-intl/index.html?utm_medium=social&utm_source=fbCNNi&utm_content=2021-10-26T21%3A00%3A37&utm_term=link

KanokwanWriterKanokwan
Business Journalist อดีตผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจออนไลน์ และ Forbes Thailand Online
สนใจเรื่องความเคลื่อนไหวของแบรนด์ เทคโนโลยี โลกอนาคต ชีวิตการทำงาน ความเหลื่อมล้ำ และความเป็นอยู่ของผู้คน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง