กลุ่มสิทธิฯ เผยกองทัพเมียนมาวางกับระเบิดปูพรมรอบโบสถ์-หน้าบ้าน-หน้าห้องน้ำ โจมตีชาวบ้านใกล้ชายแดนไทย ชี้เป็นอาชญากรรมสงคราม และไม่มีประเทศไหนในโลกทำในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หน่วยงานสิทธิมนุษยชน เผยแพร่รายงานล่าสุดในวันนี้ (20 ก.ค.) ระบุถึงพฤติกรรมของกองทัพเมียนมา ที่อาจมีความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงคราม จากการลอบวางกับระเบิดโจมตีฝ่ายต่อต้านแบบปูพรม ใกล้กับชายแดนไทย
รายงานฉบับนี้นักวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ลงพื้นที่รัฐกะยา ใกล้กับชายแดนไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ปะทะระหว่างกองทัพเมียนมากับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ชาวบ้าน 43 คน ซึ่งเป็นทั้งผู้เห็นเหตุการณ์และผู้รอดชีวิตจากการเหยียบกับระเบิด
ชาวบ้านคนหนึ่งเปิดเผยว่า เธอเหยียบกับระเบิดขณะเดินไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ขาขาดทันที เช่นเดียวกับโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในพื้นที่ ที่มีรายงานถูกวางกับระเบิด 8 จุดรอบตัวโบสถ์ ซึ่งในเวลาต่อมากองทัพเมียนมาได้ก่อเหตุเผาโบสถ์ดังกล่าวด้วย

รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลชี้ว่า การกระทำของกองทัพเมียนมาสะท้อนให้เห็นว่า มีการวางแผนวางกับระเบิดในพื้นที่ปะทะอย่างเป็นระบบ รวมทั้งวางกับระเบิดในสนามหน้าบ้านของประชาชน บริเวณทางเข้าประตูบ้านและหน้าประตูห้องน้ำ ไปจนถึงนาข้าวของชาวบ้าน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังชี้ว่า ระเบิดที่กองทัพเมียนมาใช้เป็นชนิดที่ถูกห้ามตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และสถานการณ์ล่าสุดยังทำให้กองทัพเมียนมาเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการยืนยันใช้กับระเบิดแบบนี้ในช่วงปี 2020-2021
รอว์ญา ราเจห์ ที่ปรึกษาด้านวิกฤติอาวุโส แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ชี้ว่า การใช้กับระเบิดของกองทัพเมียนมาจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนต่อเนื่องไปอีกหลายปี โดยจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดทำให้เห็นได้ว่า การก่อเหตุแบบนี้จะทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิตและบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ก่อนจะเรียกร้องให้กองทัพเมียนมายุติการใช้กับระเบิด หาทางเก็บกู้และให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
กองทัพเมียนมานำโดยพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก่อรัฐประหาร โค่นรัฐบาลนางอองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ปีที่แล้ว เป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์ในเมียนมารุนแรงจนถึงปัจจุบัน จากความพยายามกวาดล้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา จนมีผู้เสียชีวิตจากการต้านรัฐประหารแล้วกว่า 2,000 คน ถูกจับกุมเกือบ 15,000 คน
ก่อนหน้านี้กองทัพเมียนมาเคยถูกตั้งข้อหาเกี่ยวกับอาชญากรรมสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติมาแล้ว จากเหตุความรุนแรงต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา ทั้งการข่มขืน ฆาตกรรมและเผาบ้านเรือน จนทำให้นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา น่าจะมีชาวโรฮิงญาหนีภัยกว่า 750,000 คน










