‘ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นงบประมาณ’ คุยกับ นพ.วรวิทย์ ผอ.โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ถึงวิกฤตผู้อพยพเมียนมา หลังผ่านเส้นตายตัดงบ

‘ไม่ใช่เรื่องงาน แต่เป็นงบประมาณ’ คุยกับ นพ.วรวิทย์ ผอ.โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ถึงวิกฤตผู้อพยพเมียนมา หลังผ่านเส้นตายตัดงบ

HEALTH & LIFE

“เขาจะปล่อยให้ท้องถิ่นมาทำแบบเนี้ย อยู่นานๆ เป็นปีๆ หลายปีเนี่ย ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว” เสียงสะท้อน จาก นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ในฐานะแพทย์ชายแดนไทย-เมียนมา ที่แสดงความกังวลต่อวิกฤตเร่งด่วน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศตัดงบประมาณช่วยเหลือองค์กรผู้ลี้ภัย ทำให้ ‘โรงพยาบาลอุ้มผาง’ จ.ตาก กลายเป็นหนึ่งในศูนย์ช่วยเหลือผู้อพยพ ที่ต้องเผชิญวิกฤตหนักในครั้งนี้

 

ข้ามสู่เช้าวันที่ 1 ส.ค. หลังการตัดงบอย่างเป็นทางการ การสื่อสารต่อสาธารณะที่ชัดเจนที่สุด เกิดขึ้นผ่าน ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา ที่เป็นแนวหน้าองค์กรในพื้นที่ มีการแจงว่าจะเดินหน้าตามแผนที่รับรู้กัน

อย่าง รับมือบริการทางการแพทย์ ด้วยการจ้างอาสมัครสาธารณสุข (Medic) ทำงานในอัตราเดือนละ 2,500 บาท จำนวน 80 คน คอยให้บริการผู้ป่วยนอก รับบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง ยังคงจัดน้ำอุปโภค บริโภคให้กับพื้นที่พักพิงชั่วชั่วคราว แต่ ‘แผนบรรเทาปัญหา’ ที่ใช้อยู่นี้ คาดการณ์ว่าจะยื้อไปได้ถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2568 เท่านั้น แล้วหลังจากนี้จะจัดการอย่างไร ยังคงไร้ความชัดเจน

ออกตัวก่อนว่า การพูดคุย กับ นพ.วรวิทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง และคณะทำงาน ผ่านรายการ HEADLINE โดยสำนักข่าว TODAY เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ราวหนึ่งเดือนก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. ที่มีการยุติการช่วยเหลืออย่างสมบูรณ์  ทว่า ดูเหมือนทว่าทางออกระยะยาวดูจะยังไม่ชัดเจน สุดท้ายยังคงพึ่งพาคนทำงานในพื้นที่เช่นเดิม

[ซ้อมก่อน ‘เส้นตาย’ เตรียมรับผู้อพยพเสี่ยงอดอาหาร-ป่วยหนัก]

“เรื่องอาหารมันเฉพาะหน้าจริงๆ ถ้าถึง 1 ส.ค.นี้ คือคนมันต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อ เพราะฉะนั้น ลูกเด็กเล็กแดงถ้าไม่มีข้าวกิน คงอยู่กันไม่ได้ พ่อ-แม่คงทนเห็นไม่ไหว”

คำกล่าวของ นพ.วรวิทย์ แสดงความกังวลถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดว่า ผู้อพยพใน 9 ศูนย์ทั่วไทย อาจถูกทอดทิ้งและ ต้องเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนอาหาร หลังองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGO) อย่าง คณะกรรมการช่วยเหลือและกู้ภัยนานาชาติ (IRC) และ สมาคมชายแดน (TBC) ต้องถอนตัว หลังสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ยุติการสนับสนุนที่ให้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

‘ปัญหาสาธารณสุข’ นับเป็นหนึ่งผลกระทบที่เลวร้าย จากการถอนความช่วยเหลือครั้งนี้ เนื่องจากผู้ดูแลโรงพยาบาลสนามในศูนย์ต่างๆ จะหายไป นำไปสู่ความเสี่ยงทางการแพทย์ เช่น การทำคลอดแม่และเด็ก การขาดแคลนยา ไปจนถึงการดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึง

ยังไม่นับรวม ความเสี่ยงในการระบาดของโรคติดต่อต่างๆ ที่ นพ.วรวิทย์ กังวลเป็นอย่างมาก พร้อมยกตัวอย่างวิกฤตในอดีต เช่น อหิวาตกโรค ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนในศูนย์อพยพกว่า 100 ราย จากน้ำไม่สะอาด วัณโรค ที่อาจกลายเป็นเชื้อดื้อยาหากขาดยาต่อเนื่อง และมาลาเรีย ซึ่งกำลังระบาดหนักในเมียนมา ก็อาจแพร่มาสู่ไทยได้หากไม่มีการป้องกันที่ดีพอ

ปลายทาง วิกฤตสาธารณสุข ยังส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงด้านมนุษยธรรม หากไม่ได้ความช่วยเหลือที่เพียงพอ จนอาจมีผู้ป่วยเสียชีวิต 

อย่างไรก็ดี นพ.วรวิทย์ ย้ำว่า ภาพเลวร้ายดังกล่าวจะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ ทำให้สาธารณสุขใน จ.ตาก เตรียมแผนรับมือ ตั้งแต่หลังจากทราบเส้นตายเมื่อต้นปี  โดยมอบหมาย และแบ่งภารกิจงานให้ 5  โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน ดูแลแต่ละศูนย์แยกกัน เพื่อดูแลป่วยในศูนย์ผู้อพยพราว 50,000 คน

โดยได้ทดลองใช้ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมรับมือกับการถอนตัวของ IRC และองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างๆ การเตรียมพร้อมเช่นนี้ ทำให้ นพ.วรวิทย์ คลายความกังวลไปได้บ้าง อีกทั้ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นคนไข้เดิม และที่ผ่านมา IRC ได้สนับสนุนค่าใช้จ่าย ทั้งค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลและ ค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ จึงไม่มีภาระทางการเงินจากการช่วยเหลือผู้ป่วยในศูนย์

ทว่า ความท้าทายที่แท้จริง จะตกไปที่ ‘การจัดการโรงพยาบาลสนามในศูนย์ต่างๆ’ ที่จะเพิ่มขึ้นต่างหาก  โดย นพ.วรวิทย์ เสนอว่า วิกฤตนี้สามารถพลิกเป็นโอกาสในการพัฒนาการจัดการบางส่วนที่ IRC ได้วางรากฐานไว้ให้ดียิ่งขึ้นได้

[‘ภาระทางการเงิน’ ปมใหญ่ที่คนด่านหน้าแบกไม่ได้]

ในฐานะแพทย์ชายแดนไทย-เมียนมา นพ.วรวิทย์ มองว่า อีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องรับมือ คือ ‘ภาระทางการเงิน’ โดย นพ.วรวิทย์ ชี้แจงว่า ค่าใช้จ่ายที่ ไม่รวมค่าจ้างบุคลากรของ ทั้ง 3 ศูนย์อพยพ จ.ตาก รวมถึง รพ.ชายแดน จะอยู่ที่ราว 4,000,000 บาทต่อเดือน และจำนวนนี้อาจเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต

“ถ้าหลังจากนี้ไปนะครับ มันไม่ได้วิกฤตเรื่องงานรักษาพยาบาล หรือ งานที่เราต้องทำนะครับ แต่มันวิกฤตเรื่องงบประมาณกับโรงพยาบาล”

แม้ว่า ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา และ หน่วยงานในพื้นที่ อย่าง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จะมีแผนและงบ เพื่อจ้างคนเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระได้ แต่งบประมาณทั้งหมดจะใช้ได้ถึงแค่เดือนตุลาคมนี้เท่านั้น พร้อมกับภาระยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี นพ.วรวิทย์ ยังคงย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องบริหารจัดการโรงพยาบาลให้ได้มาตรฐานสูงสุด ภายใต้งบประมาณที่มี พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะนี่คือสิ่งที่ ‘มนุษย์พึงกระทำต่อกัน’

“เราทุกคนล้วนเป็นคน แต่คนจิตใจดี เราถือว่าเป็นมนุษย์ เพราะงั้นเราต้องคำนึงถึงมนุษยธรรม หลักสากลทั่วไปของคนทั่วๆ ไปอยู่แล้ว”

[ข้อเสนอ ‘สร้างงาน’ หนึ่งกุญแจปลดล็อกวิกฤตผู้อพยพ?]

ภาระที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ที่ต้องรับมือตามลำพังเท่านั้น แต่เป็นปัญหาร่วมที่หน่วยงานระดับประเทศร่วมสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น สภากาชาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

อย่างไรก็ดี นพ.วรวิทย์ เสนอว่า เมื่อถึงเวลาเส้นตาย สธ. ควรเป็นแกนนำจัดตั้ง และเร่งระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือ ทั้งนี้เข้าใจถึงข้อจำกัดในการของบประมาณเป็นอย่างดี

ยิ่งกว่านั้น ผอ.โรงพยาบาลอุ้มผาง ยังย้ำว่า ไม่ต้องการให้การของบประมาณเพิ่มจาก สธ. ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความอคติต่อผู้อพยพ

“กองทุนอาจเป็นกองทุนเงินบริจาค ที่รับบริจาคจากรัฐบาลประเทศอื่นก็ได้ จากภาคเอกชนก็ได้ จากใครก็ได้ครับ เหตุผลก็คือว่า เราต้องมาช่วยกันแก้ปัญหาด้านมนุษยธรรม และ การแพร่กระจายของโรคร้ายแรง”

นอกจากนี้ นพ.วรวิทย์ และคณะทำงาน ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน อย่างการ ‘สร้างงาน’ ให้กับผู้อพยพ โดยแนวทางนี้ สอดคล้องกับข้อศึกษาของ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วัตถุประสงค์ของเกณฑ์นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติ 

อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ยังคงมีข้อจำกัด ของ ประกาศกระทรวงมหาดไทย ที่อนุญาตให้ผู้อพยพพำนัก โดยจำกัดพื้นที่พักพิงชั่วคราว ไว้เพียงภายใน 9 ค่ายเท่านั้น ดังนั้น การจะอนุญาตให้ออกไปทำงานนอกพื้นที่ได้ ครม. จะต้องอาศัยช่องกฎหมายที่มีอยู่ ในการออกกฎหมายลูกรับเสียก่อน

ทว่า คณะทำงานด้านกฎหมายในเขตดูแลโรงพยาบาลอุ้มผาง ชี้ให้เห็นถึงปัญหาทะเบียนของผู้อพยพ ว่ามีความซับซ้อน และอาจส่งผลต่อการเดินหน้าในทิศทางนี้ 

“คนในค่ายมีการขึ้นทะเบียนหลายทะเบียนมาก ทะเบียนมหาดไทย ทะเบียน UNHCR หรือแม้กระทั่งทะเบียนแจกอาหาร ก็ยังไม่ตรงกัน อาจจะต้องมีการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องก่อน ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ มีใครบ้าง ถึงจะนำไปสู่เรื่องอื่นได้” คณะทำงาน กล่าว

คล้ายกับที่ นพ.วรวิทย์ ชี้ไว้ช่วงหนึ่งของการพูดคุยว่า ผู้อพยพจำนวนหนึ่งในศูนย์เป็นคนหนุ่มสาว ที่อาจตอบโจทยวิกฤตขาดแรงงานของไทย ในทางหนึ่งก็จะช่วยแก้ปัญหามนุษยชนระยะสั้น อย่างวิกฤตอาหารแล้ว และป้องกันปัญหาระยะยาว คือ อย่างระบบสาธารณสุขด้วย

“ถ้าไม่มีอาหาร ผมคิดว่าคนในศูนย์จะต้องหารายได้ได้เอง ผมไปดูแล้วเนี่ย เขาเป็นคนวัยหนุ่มสาวเยอะ เขาเป็นแรงงานได้นะครับ” 

ทว่า นพ.วรวิทย์ มองว่าทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐบาล เร่งออกนโยบาย พร้อมชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ และผลกระทบ เพื่อหาทางออกวิกฤตดูแลผู้อพยพ เนื่องจากหน่วยงานในพื้นที่ อาจไม่มีกำลังดูแล และแกปัญหาในระยายาว

“เรียนขอความเมตตาท่านผู้บริหารระดับสูงของประเทศไทยเรานะครับ ว่าถ้าท่านจะเลือกที่ 1 2 3 ท่านจะเลือกอะไรมา แต่ขอให้ช่วยสนับสนุนในเชิงนโยบายมาด้วย เพราะพื้นที่มันมีความจำกัดจริงๆ ครับ โดยเฉพาะเรื่องการจัดหางบประมาณ หาเงินบริจาค” นพ.วรวิทย์ กล่าวทิ้งท้าย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง