วันที่ 13 มี.ค. 2568 เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศจะยุบระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ National Health Service หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘NHS England’ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ดูแลด้านการบริการสุขภาพ ให้มารวมกับกระทรวงสาธารณสุขและสังคม (Department of Health and Social Care – DHSC) เพื่อให้อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลโดยตรง
สตาร์เมอร์ให้เหตุที่ตัดสินใจจะยุบ NHS ว่า การทำแบบนี้จะช่วยประหยัดเงินหลายร้อยล้านปอนด์ และลดระบบราชการที่ซ้ำซ้อน ซึ่งจะช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น
“พูดตามตรง ผมไม่รู้จะอธิบายให้คนอังกฤษเข้าใจได้ยังไงว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องจ่ายเงินให้ระบบราชการที่ซ้ำซ้อนกันถึงสองชั้น แทนที่จะนำเงินเหล่านั้นมาใช้กับแพทย์ พยาบาล การผ่าตัด หรือระบบนัดหมาย”
“ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมการตัดสินใจเกี่ยวกับเงินภาษีของประชาชน 200,000 ล้านปอนด์ สำหรับบริการที่ควรเป็นเรื่องพื้นฐานอย่าง NHS ถึงต้องดำเนินงานโดยหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล วันนี้เราน่าจะต้องขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนได้แล้ว”
นี่คือบางช่วงบางตอนจากคำแถลงของนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ คำถามสำคัญคือ ปัจจัยแท้จริงที่ทำให้สตาร์เมอร์ผลักดันให้ยุบ NHS คืออะไรกันแน่ และการยุบหน่วยงานบริการสุขภาพแห่งชาตินี้ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อชาวอังกฤษหลายสิบล้านคน
ทำความรู้จัก NHS
ก่อนจะไปหาคำตอบว่าทำไมนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึงอยากยกเลิก NHS คงต้องไปทำความเข้าใจหน่วยงานนี้ก่อน NHS หรือ National Health Service แปลตรงตัวตามชื่อ ก็คือ ‘บริการสุขภาพแห่งชาติ’
หน่วยงานนี้ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2013 เมื่อตอนที่ นายแอนดูรว์ แลนสลีย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยจุดประสงค์ในการก่อตั้งคือ ต้องการให้มีหน่วยงานที่มาดูแลด้านการบริการสุขภาพให้กับประชาชน โดยไม่ต้องขึ้นตรงกับรัฐบาล เพื่อให้มีความคล่องตัว และให้บริการได้เร็วขึ้น
ทำให้ NHS อยู่ในฐานะองค์กรอิสระ ที่ไม่จำเป็นไม่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาล แม้จะใช้เงินจากงบประมาณที่จัดสรรมาจากภาษีของประชาชน แต่ก็สามารถนำเงินเหล่านั้นมาบริหารจัดการได้อย่างอิสระ ไม่ต้องรอให้มีการอนุมัติ หรือต้องผ่านการรับรองจากรัฐบาลก่อน
หน้าที่หลักๆ ของ NHS คือการกำกับดูแล บริหารจัดการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบริการด้านสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ ทำให้องค์กรนี้มีขนาดใหญ่มาก มีพนักงานรวมๆ กันอยู่ประมาณ 15,300 คน เทียบกับพนักงานของกระทรวงสาธารณสุข (DHSC) ที่มีอยู่ 3,300 คน เท่ากับว่า NHS มีพนักงานมากกว่ากระทรวงสาธารณสุขอยู่เกือบๆ จะ 5 เท่าตัว
NHS มีปัญหาอะไร
จริงๆ แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ NHS ไม่ได้อยู่ที่การจ้างงานมากกว่าหรือว่าน้อยกว่า DHSC เพียงแต่ว่า การจ้างงานจำนวนมากของ NHS ทำให้องค์กรนี้ต้องเสียเงินไปกับการจ่ายค่าจ้างมหาศาล ประกอบกับมาเจอวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 ซ้ำเติมด้วยการมีผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลมากขึ้น อีกทั้งยังประสบกับปัญหาภายใน จนมีการหยุดงานประท้วงหลายครั้ง ช
ทำให้การดำเนินงานของ NHS ที่ผ่านมา ถูกมองว่า ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จากที่มีวัตถุประสงค์แรกเริ่มมาตั้งแต่ก่อตั้งว่า การเป็นองค์กรอิสระที่คล่องตัวจะช่วยให้สามารถให้บริการประชาชนได้เร็วขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา ยังคงมีผู้ป่วยที่ต้องรอคิวเพื่อเข้ารับบริการด้านสุขภาพนานเป็นเดือนๆ บางคนถึงขั้นอาจจะต้องรอกันเป็นปีๆ เลยก็มี
ผลกระทบที่ตามมาจากการที่ไม่ได้รับการรักษาอาการป่วยอย่างทันท่วงที ทำให้มีชาวอังกฤษจำนวนมากป่วยเป็นโรคเรื้อรัง โดยตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในอังกฤษมีคน 2.8 ล้านคนที่ป่วยเรื้อรัง จนไม่สามารถทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ
ทำไม ‘สตาร์เมอร์’ อยากยุบ NHS
ปัญหาดังกล่าวเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์มองว่า ควรยุบ NHS ให้มารวมกับ DHSC เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น จะได้ทำให้คนป่วยที่กำลังรอคิวรักษาโรคได้รับการรักษาเร็วขึ้น
และที่สำคัญคือ จะได้ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขของประเทศลง เพราะว่า การนำ NHS กับ DHSC มารวมกัน จะทำให้สามารถยุบส่วนงานบางส่วนที่ทั้งสององค์กรนี้ทำงานซ้ำซ้อนกันอยู่ออกไปได้
โดยนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์กล่าวว่า งบประมาณที่ลดลงจากการยุบ NHS จะทำให้แพทย์ พยาบาล และบริการในด่านหน้ามีเงินสดสำรองมากขึ้น และก็จะช่วยให้มีงบประมาณมาพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
แม้ว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษจะระบุว่า การปฏิรูประบบบริการสุขภาพแห่งชาติให้อยู่ภายใต้รัฐบาลกลางจะเป็นผลดีต่อประชาชน แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลและมีคำถามตามมาอีกมากมาย
หนึ่งในความกังวลที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ตอนนี้ ก็คือการนำ NHS มารวมกับ DHSC จะทำให้มีพนักงานถูกเลิกจ้างจำนวนมาก ตามที่นายเวส สตรีตติง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (13 มี.ค.) ว่า ตามแผน อาจจะต้องลดจำนวนพนักงานของ NHS และ DHSC ลงประมาณ 50% เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้านปอนด์
แม้รัฐมนตรีสตรีตติง จะไม่ได้ระบุตัวเลขชัดเจนว่า จะต้องปลดพนักงานกี่คน แต่มีการประเมินว่า น่าจะมีพนักงานของทั้งสององค์กรได้รับผลกระทบราวๆ 9,000-10,000 คน
กลุ่มที่เป็นเป้าหมายก็คือ ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ระดับผู้บริหารที่ถูกมองว่าไม่ได้มีความจำเป็น และตำแหน่งงานอื่นๆ ที่มีการทำงานซ้ำซ้อนกันทั้งใน NHS และ DHSC โดยรัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษระบุว่า เงินงบประมาณที่ประหยัดได้ก้อนนี้ จะถูกนำมาเพิ่มให้กับโรงพยาบาลและการบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิ
ยกเลิก NHS จะทำให้อังกฤษมีบริการด้านสุขภาพดีขึ้นจริงหรือ
คำถามนี้เป็นคำถามที่นักข่าวถามนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) ซึ่งสตาร์เมอร์อธิบายว่า “เหตุผลหนึ่งที่เรายกเลิกก็เพราะการทำงานซ้ำซ้อน”
“คุณเชื่อไหมว่า เรามีทีมสื่อสารใน NHS England และเราก็มีทีมสื่อสารอยู่ใน DHSC เรามีทีมกลยุทธ์ใน NHS England และเราก็มีทีมกลยุทธ์ใน DHSC เหมือนกัน หมายความพวกเขากำลังทำงานแบบเดียวกันทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นเลย”
“ถ้าเรากำจัดงานซ้ำซ้อนพวกนี้ออกไปได้ เราก็จะมีเงินมาใช้ในเรื่องที่จำเป็นกันมากขึ้น อย่างการทำงานในด่านหน้า” นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์ระบุ
ก่อนที่รัฐมนตรีสาธารณสุข สตรีตติง จะพูดเสริมขึ้นมาว่า “ในช่วงที่เงินตึงมือแบบนี้ เราไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาสนับสนุนระเบียบราชการที่ซับซ้อน ในแบบที่มีองค์กรสองแห่งกำลังทำหน้าที่เดียวกันแบบนี้เลย”
ถอดบทเรียนอังกฤษ หันกลับมามองไทย
ความเคลื่อนไหวนี้ นับเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตา เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติอังกฤษ หรือ NHS England เป็นหนึ่งในระบบบริการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก การที่รัฐบาลอังกฤษเริ่มขยับเพื่อปฏิรูประบบนี้ เลยทำให้หลายประเทศเฝ้ามองทั้งวิธีการ ผลกระทบ และผลลัพธ์ที่จะตามมา
และนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่คนไทยเองควรจะจับตา เพราะการปฏิรูประบบบริการสุขภาพของอังกฤษ อาจจะเป็นบทเรียนให้เราสามารถนำมาศึกษา ดูเป็นแนวทาง โดยเฉพาะอย่างกับกรณีของสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ที่ถูกเปรียบเทียบว่ามีความคล้ายคลึงกับ NHS England และกำลังถูกตั้งคำถามถึงการบริหารจัดการ และปัญหาเกี่ยวกับงบประมาณ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอังกฤษ










