การขับเคี่ยวกันระหว่างไนกี้ กับ อาดิดาส คือสนามธุรกิจที่ผู้คนให้ความสนใจในศึกฟุตบอลยูโร 2020
10 ทีมเต็งที่จะเป็นแชมป์ยูโร 2020 แบ่งสปอนเซอร์ออกเป็น ไนกี้ 5 ทีม ฝรั่งเศส อังกฤษ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และโครเอเชีย อาดิดาส 3 ทีม เบลเยี่ยม สเปน และเยอรมันนี
มีเพียงอิตาลีและเดนมาร์กเท่านั้นที่ไม่ได้ใช้เสื้อของสองยักษ์ใหญ่ อิตาลีใช้ของพูม่า และเดนมาร์กใช้ฮัมเมล

ฝรั่งเศสเคยใช้เสื้ออาดิดาส ก่อนไนกี้จะใช้เงินมหาศาลทุ่มซื้อ ด้วยสัญญาปีละ 43 ล้านปอนด์
ถ้าถอยมาดูทีมยูโร 2020 จะแบ่งออกเป็น
ไนกี้ 9 ทีม
อาดิดาส 8 ทีม
พูม่า 4 ทีม
ฮัมเมล โจม่า และ จาโก้ อย่างละ 1 ทีม
รวมกันเป็น 24 ทีม
5 ชาติมหาอำนาจฟุตบอล กับสัญญานสิบล้านปอนด์
-
เยอรมันนี (อาดิดาส) ปีละ 56 ล้านปอนด์
-
ฝรั่งเศส (ไนกี้) ปีละ 43 ล้านปอนด์
-
อังกฤษ (ไนกี้) ปีละ 33.3 ล้านปอนด์
-
อิตาลี (พูม่า) ปีละ 25.4 ล้านปอนด์
-
สเปน (อาดิดาส) ปีละ 15.9 ล้านปอนด์
โดยชาติที่ได้ค่าสัญญาเสื้อแข่งน้อยที่สุดในยูโร 2020 คือ นอร์ธ มาซิโดเนีย จากจาโก้ที่ปีละ 400,000 ปอนด์เท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าเยอรมันนีเกิน 10 เท่าตัว

กรณีศึกษาศึกชิงเสื้อแข่งเยอรมันนีในปี 2006
The Athletic เล่าว่าแต่ไหนแต่ไรมาอาดิดาสได้สิทธิ์ผูกขาดกับทีมชาติเยอรมันนี ในการเป็นสปอนเซอร์หลักมาโดยตลอด จนปี 2006 ไนกี้ที่กำลังไล่ตีตลาดฟุตบอลยุโรป มีภารกิจดึงทีมชาติเยอรมันนีหักประเพณีเดิม ย้ายมาซับยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเยอรมันนีกับอาดิดาสนั้นเปรียบเสมือนของคู่กัน ทั้งสองเป็นพาร์ทเนอร์กันมาตั้งแต่ 1954 กินเวลามายาวนาน 50 ปี
ฉะนั้นถ้าไนกี้อยากได้ไปจริงๆ ก็ต้องยอมยื่นข้อเสนอที่ยากที่จะปฏิเสธ ซึ่งบทสรุปในปี 2006 คือไนกี้ยอมลงทุนจ่ายแพงกว่าถึง 5 เท่า ด้วยสัญญา 8 ปี – ก่อนหน้านั้นอาดิดาสจ่ายอยู่ปีละ 10 ล้านยูโร
ข้อเสนอใหม่นี้จะทำให้สมาพันธ์ฟุตบอลเยอรมันได้เงินไปพัฒนาวงการมากถึง 500 ล้านยูโร เรียกว่าแพงมหาศาล
มหากาพย์การต่อสู้แย่งชิงเสื้อทีมชาติเยอรมันนีไปจนถึงชั้นศาล ตำนานนักเตะอย่างฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับไนกี้ถึงกับบอกว่า “การบอกปัดเงินมหาศาลนี้ มันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
ดีลจบลงในปี 2007 ด้วยการที่สมาพันธ์ฟุตบอลเยอรมันยอมเซ็นสัญญาในราคา 650 ล้านยูโรกินระยะเวลา 10 ปีเป็นสัญญาที่แพงที่สุดในโลก
อาดิดาส ยังได้ช่วยสร้างสนามซ้อม สนามแข่งเพื่อให้ทีมชาติเยอรมันนีได้ใช้ก่อนศึกยูโร 2020 และ 2024 ด้วย

ทีมชาติเยอรมันนีมีสตาร์อย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ แซร์จ นาบรี้ เป็นตัวดึงดูด
สปอนเซอร์เสื้อทีมชาติ – เงินมหาศาลคุ้มหรือไม่?
มีการตั้งคำถามว่าการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลให้กับทีมชาติเหล่านี้มันคุ้มกันหรือเปล่า ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ยอดขายเสื้อก็ตก แถมทีมชาติก็ลงแข่งทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ปีเว้นปีเท่านั้น
แฟนบอลก็มีความผูกพันกับทีมชาติน้อยกว่าสโมสร ลองคิดดูว่าถ้าทีมตกรอบไม่ได้ไปแข่งยูโรหรือบอลโลก คนที่อยากซื้อเสื้อทีมชาติมาใส่อวดก็น่าจะมีน้อยลง
นี่คือสาเหตุที่ผลงานของทีมนั้นมีความสำคัญกับเม็ดเงินที่สมาคมฟุตบอลจะได้ ยกตัวอย่างในปี 2016 ทีมชาติอังกฤษที่ถูกไนกี้ยื่นต่อสัญญาด้วยราคาที่ถูกลง ในช่วงที่ทีมชาติตกต่ำ ตกรอบยูโร 2016 ด้วยน้ำมือของไอซ์แลนด์

ทีมชาติอังกฤษเซ็นสัญญาระยะยาวกับไนกี้ ในช่วงที่ผลงานตกต่ำ มูลค่าปีละ 33 ล้านปอนด์สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในยุโรป
หรือตัวอย่างในทางกลับกัน เสื้อแข่งทีมชาติเยอรมันนีขายได้ 2 ล้านตัวก่อนฟุตบอลโลก 2014 และพลันที่พวกเขาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก เสื้อทีมชาติก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โกยมาอีกกว่า 1 ล้านตัว กับชุดทีมชาติที่ปักดาวแชมป์โลกดวงที่สี่
สรุปได้ว่าถึงวันนี้การเป็นสปอนเซอร์เสื้อทีมชาตินั้นยังใช้ได้ผลดีอยู่ และผลงานของแต่ละทีมก็ส่งผลกับยอดขายเสื้อโดยตรง
ซึ่งฟุตบอลยูโร 2020 นี้ก็ต้องจับตาว่าสุดท้ายแล้วศึกระหว่างไนกี้กับอาดิดาส ใครจะชิงความได้เปรียบ เสื้อที่ปักแบรนด์ไหนจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะ อีกไม่เกิน 1 เดือนเราจะได้รู้กัน










