บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ปี 2567 จ่อออกกองทุนใหม่เพิ่ม 6 กองทุน ดันพอร์ตเติบโตหนุน AUM แตะ 1.7 แสนล้านบาท ด้านลงทุนมองหุ้นไทยสิ้นปี 1,525 จุด ต่างประเทศเน้นหุ้นสหรัฐอเมริกาและยุโรป
‘พจน์ หะริณสุต’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บลจ.วรรณ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ณ ธันวาคม 2566 เติบโตขึ้น อยู่ที่ 1.62 แสนล้านบาท
โดยมีสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจากธุรกิจกองทุนรวมอยู่ประมาณ 40% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพประมาณ 20% และกองทุนส่วนบุคคลประมาณ 40%
โดยในปีที่ผ่านมา ได้เปิดเสนอขายไปทั้งหมด 6 กองทุน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเรามียอดขายรวมทั้งหมดประมาณหมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมยอดขายจากกองทุนส่วนบุคคล
ทำให้บลจ.วรรณครองแชมป์ไอพีโอ (IPO) กองทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ส่วนความสำเร็จของปีนี้ เราสามารถบริหารกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ได้ก่อนเป้าหมายผ่านกองทุน ONE-GO1 โดยใช้ระยะเวลาเพียง 10 วันทำการ
นับว่าเป็นการสร้างสถิติใหม่ของการบริหารกองทุนภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณ ประเภททริกเกอร์ฟันด์ ที่เข้าเงื่อนเลิกโครงการก่อนกำหนดการ 5 เดือนจากที่ตั้งเป้าไว้
ส่วนในปี 2567 บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณานำเสนอกองทุนทางเลือกประเภทใหม่ และมีแผนออกทั้งหมดรวม 6 กองทุน ซึ่งในช่วงต้นปีออกไปแล้ว 3 กองทุน ที่เหลือจะเป็นกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ 2 กอง และกองทุนไลฟ์เซทเทอร์เม้น 1 กอง
โดยตั้งเป้าหมายจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 แสนล้านบาท จากปี 2566 ที่มี 1.62 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากพอร์ตกองทุนรวมที่จะเพิ่มขึ้นอีก 5,000 ล้านบาท จาก 60,000 ล้านบาทในปีก่อน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพิ่มอีก 5,000 ล้านบาทจาก 40,000 ล้านบาท
ด้าน ‘มณฑล จุนชยะ’ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.วรรณ เปิดเผยถึง ภาพการลงทุนสำหรับปี 2567 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวแต่ก็ยังมีอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 3.1% โดยตัวแปรสำคัญขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของภาคการผลิตทั่วโลก
ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นผ่านดัชนี global manufacturing PMI ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ที่กลับมาอยู่ในเกณฑ์ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 16 เดือน และมีความคาดหวังในเชิงบวกต่อการขยายตัวของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI Boom)
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ยังคงให้น้ำหนักการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน โดยประเมินว่าวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงแรก ซึ่งเชื่อว่า Fed น่าจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 และอาจปรับลดอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในไตรมาสที่ 3 และ 4 ตามลำดับ
หากเป็นจริงมองว่าผลกระทบต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักและตลาดเกิดใหม่อาจมีไม่มากนัก ขณะที่ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ สงครามการสู้รบ และความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเงินเฟ้อจากฝั่งอุปทานที่ยังคงต้องติดตามตลอดปีนี้เช่นกัน
สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทย แต่อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่าช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว โดยระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม นอกจากความหวังว่าภาคเศรษฐกิจต่างประเทศจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อไป
โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ถ้าสามารถฟื้นตัวได้จะส่งผลบวกเป็นวงกว้างมายังภาคการท่องเที่ยว การลงทุน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทย อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลลบในช่วงต้นแต่จะดีในช่วงครึ่งปีหลังคือ ความล่าช้าของรัฐบาลในการจัดทำร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากภาครัฐยังช้าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว
ทั้งนี้ มองว่าในท้ายที่สุดภาครัฐบาลจะกลับมาเบิกจ่ายได้ตามปกติราวไตรมาสที่ 2 รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาว
โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่กำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และไม่สามารถปรับตัวตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปลี่ยนไป จึงไม่แปลกใจที่เห็นนักลงทุนต่างชาติเทขายตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงต้องเน้นการคัดเลือกเป็นรายกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ให้เหมาะสมกับวัฎจักรเศรษฐกิจในแต่ละช่วง มากกว่าการลงทุนที่ตัวดัชนีตลาด
จึงประเมินดัชนีเป้าหมายของปีนี้ไว้ที่ 1,525 จุด อิง Fwd PER ที่ 16.24 เท่า บนสมมติฐาน EPS ที่ 93.87 บาทต่อหุ้น ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศ ยังแนะนำคัดเลือกกลุ่มการลงทุนโดยเน้น กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป เป็นต้น










