ตลกไม่ออก เหตุการณ์ ‘วิล สมิธ’ ตบ ‘คริส ร็อค’ ในกลางออสการ์ สะท้อนทางตันของนักแสดงตลกในอเมริกาเมื่อความตลกแบบเดิม ๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ประกาศรางวัลไปแล้วเมื่อคืนกับรางวัล The Academy Awards 2022 แต่ที่ดังกว่าภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลคือเหตุการณ์ที่ วิล สมิธ เดินไปตบหน้า คริส ร็อค กลางเวทีหลังจากเขาเล่นมุขที่ทำให้วิล และ เจด้า พิงค์เกตต์ สมิธ ตลกไม่ออก
ร็อคที่รับหน้าที่ผู้ประกาศรางวัลกำลังไล่เล่นมุขบนเวที เมื่อเขาเริ่มมุขเกี่ยวกับ จาเวียร์ บาเด็ม ที่เข้าชิงพร้อมกับ เพเนโลเป ครูซ ภรรยาของตัวเอง ว่าบาเด็มคือคนที่มีเวลาที่ยากลำบากที่สุดในคืนนี้ เพราะถ้าภรรยาของเขาชนะ เขาจะชนะไม่ได้ “เขากำลังภาวนาให้ วิล สมิธ ชนะ แบบ ได้โปรดเถอะพระเจ้า” และกล้องก็จับภาพ วิล สมิธ ที่กำลังหัวเราะ ก่อนจะขำไม่ออกเมื่อ คนที่โดนเล่นมุขคนต่อไปคือภรรยาของเขาเอง
“เจด้า ผมรักคุณ รอดู G.I. Jane 2 ไม่ไหวแล้ว” และ เจด้า พิงค์เกตต์ สมิธ ก็ทำสีหน้าไม่ดี เราเห็นภาพวิล สมิธกำลังหัวเราะก่อนที่จะหันไปหาภรรยา กล้องจับภาพ คริส ร็อคพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนหลังจากมุขแป้ก และมีเสียงฝูงชนฮือฮา ก่อนที่วิล สมิธ จะเดินขึ้นไปตบหน้าร็อคจนไมค์ดังปุ๊ก ร็อคดูตกใจ และเดินลงไปพร้อมกับส่งเสียงด่าขึ้นมาว่า
“อย่าพูดชื่อภรรยาของผม ออกจากปาก***ของคุณ”
“ว้าว เพื่อน มันเป็นโจ๊กเรื่อง G.I. Jane”
“อย่าพูดชื่อภรรยาของผม ออกจากปาก***ของคุณ” สมิธ ตะโกนย้ำ
“ผมจะทำแบบนั้น โอเคไหม” และทั้งฮออล์กก็เงียบกริบ ก่อนที่ร็อคจะพูดขึ้นมาว่า
“ว้าว…โอเค นั่นเป็น…ค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัตศาสตร์โทรทัศน์”
ว่าด้วยเหตุผลว่าทำไมสมิธถึงหัวร้อนคือเจด้า ภรรยาของเขากำลังเผชิญปัญหาภาวะผมร่วงเป็นหย่อม ที่ทำให้เธอต้องโกนหัว และเธอก็เปิดเผยเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2018 หลังจากเหตุการณ์นั้น วิล สมิธ ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกจากการเข้าชิงจากภาพยนตร์เรื่อง King Richard ที่เกี่ยวกับพ่อของนักเทนนิสสาว วีนัส และ เซเรนา วิลเลียมส์ เขาเปิดด้วยกล่าวถึงตัวละครริดชาร์ดที่เขาเล่นว่าเป็นผู้ที่ปกป้องครอบครัวตัวเองอย่างบ้าระห่ำ และน้ำตาของเขาก็เริ่มไหลเมื่อเขาพูดถึงตัวละครและนักแสดงอื่น ๆ ในเรื่องที่เขาต้องปกป้อง
“ผมรู้ว่าว่าการจะทำงานที่เราทำ คุณจะต้องรับการเหยืยดหยาม มีคนมาพูดอะไรบ้า ๆ เกี่ยวกับคุณให้ได้ ในธุรกิจนี้คุณจะต้องทนได้ถ้ามีคนไม่ให้ความเคารพคุณ และคุณก็ต้องยิ้มและทำเป็นว่ามันไม่เป็นอะไร”
เขากล่าวก่อนที่จะขอบคุณเดนเซลวอชิงตันที่ขึ้นมาปลอบโยนและเตือนเขาว่า “ในจุดที่สูงสุดนั่นคือเวลาที่มารจะเข้ามาหาคุณ” และขอบคุณในนามของของภาพยนตร์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงคริส ร็อคเลย
มุขหยิกแกมหยอกเป็นเรื่องปรกติในงานประกาศรางวัลและสำหรับผู้ชมหลายคนเป็นส่วนที่พวกเขารอคอย แต่ในช่วงหลังมานี้มีมุขที่ตลกไม่ออกเยอะขึ้นทุกที เช่น เหตุการณ์ในงานออสการ์เมื่อปี 2016 ที่ คริส ร็อค (อีกแล้ว) เล่นมุขเหมารวมชาวเอเชียด้วยการแนะนำ “นักบัญชี” ที่จัดเรียงผลรางวัลในแบบตารางซึ่งเป็นเด็ก ๆ เชื้อสายเอเชียตะวันออก และปิดท้ายมุขด้วยการบอกว่าถ้าใครไม่พอใจให้ไปทวีตเรื่องนี้ในมือถือของคุณที่ก็ผลิตโดยเด็ก ๆ พวกนี้เช่นกัน ซึ่งทำให้อั้งลี่ ผู้กำกับชื่อดังและคนในวงการอีกหลายคนร่วมกันส่งจดหมายไปประนามการปล่อยให้มีเล่นมุขเหยียดเชื้อชาติบนงานประกาศรางวัล และในงานออสการ์ปี 2016 เพียงปีเดียวเขาเล่นมุขที่เป็นที่ถกเถียงกันว่าตลกจริงเหรอนับสิบมุข ในโชว์เปิดที่พูดถึงประเด็น #OscarSoWhite การถามดาราหญิงมากกว่าเรื่องชุดที่เธอใส่ กระแสการเรียกร้องความหลากหลายทางเชื้อชาติ และอื่น ๆ
มีหลายคนที่ต่อว่าร็อคด้วยเช่นกันที่เล่นมุขที่เอาเรื่องอาการป่วยของคนอื่นมาล้อเล่น บางคนชื่นชมสมิธที่ออกมาปกป้องครอบครัวของเขาด้วย รวมไปถึงคนที่ต่อว่าการกระทำของทั้งสองคนว่าไม่สมควรทั้งคู่อีกด้วย แต่ก็มีดาราหลายคนก็ออกมาประกาศจุดยืนว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยที่นักแสดงตลกที่กำลังทำหน้าที่ของเขาโดนทำร้าย นอกจากนี้ยังมีเสียงวิพากย์วิจารณ์ว่าเขามีทางเลือกอีกมากมายที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีอื่น
เคธี่ กริฟฟิธ นักแสดงตลกเขียนถึงเรื่องนี้และชูประเด็นว่า “ตอนนี้พวกเราต้องกังวลว่าใครอยากจะเป็น วิล สมิธ คนต่อไปในคอมเมดี้คลับและโรงละคร” เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่ออกมาพูดว่าการกระทำของสมิธเป็นการทำให้การใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าวงการตลกจะไปในทิศทางไหนและไปต่ออย่างไร เมื่อหลายสิ่งกลายเป็นเรื่องตลกไม่ออกแล้วในวันนี้ หนึ่งในนักแสดงตลกที่เคยออกมาพูดเรื่องนี้นอกจาก คริส ร็อค ก็มี สตีฟ ฮาร์วีย์ ออกมาพูดว่า poltical correctness หรือพฤติกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการเหยียด กำลังฆ่าวงการตลกให้ตาย เพราะในหลายครั้งเขาต้องเล่นตลกเกี่ยวกับใครสักคน มันไม่สามารถเกี่ยวกับลูกหมาหรือพุ่มไม้ได้ตลอดเวลา
ความยากของความตลกคือแต่ละครมองเรื่องที่คิดว่าตลกต่างกันไป โจ๊กที่ตลกสำหรับคนหนึ่งกลุ่มอาจจะเป็นเรื่องชวนทำร้ายจิตใจสำหรับคนอีกกลุ่มได้อย่างง่ายดาย หรือมุขตลกในสมัยก่อนนั้นที่เคยขำแต่ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไปด้วยมุมมองจากปัจจุบันกลายเป็นเรื่องท็อกซิกไปเสียแล้ว
นอกจากเรื่องมุขตลกความกลัวที่จะถูกแบนหรือพูดจากไม่เข้าหูใครยังมีผลที่ทำให้คนกล้าพูดน้อยลงหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ส์ เพิ่งตีพิมพ์บทความเรือง ‘America Has a Free Speech Problem’ หรือ อเมริกามีปัญหาเรื่องเสรีภาพทางการพูด เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมาโดยมีเผยผลที่แสดงให้เห็นว่าในตอนนี อเมริกาที่เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพกำลังเผชิญปัญหาเรื่องเสรีภาพทางการพูด เพราะคนไม่กล้าพูดอะไรที่จะทำให้พวกเขาโดนแบน หรือเสี่ยงที่จะทำให้คนอื่นไม่พอใจ ซึ่งในนั้นมีผลโพลที่แสดงให้เห็นว่า 55% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าในปีที่ผ่านมาพวกเขาต้องปิดปากเพราะกังวลการโดนโจมตีหรือกลัวคำวิจารณ์ แต่หากมองในอีกแง่มุมนี่อาจจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าชาวอเมริกันเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือทบทวนตัวเองมากขึ้นแทนที่จะแค่ยึดกับสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพทางการพูดเช่นกัน
และเหตุการณ์นี้อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่กระตุ้นให้คนทั้งโลกเห็นว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่นักแสดงตลกบางกลุ่มจะเรียนรู้ที่จะพัฒนาไปพร้อมกับโลก และสร้างรอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดจากน้ำตาของใครเสียที
อ้างอิง










