ผลการทดสอบวัคซีนของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดเบื้องต้นในเฟสที่ 3 มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ที่ 70.4% จากการหาค่าเฉลี่ยของ 2 กลุ่มทดลอง

An illustration picture shows vials with Covid-19 Vaccine stickers attached and syringes, with the logo of the University of Oxford and its partner British pharmaceutical company AstraZeneca, on November 17, 2020. (Photo by JUSTIN TALLIS / AFP)
วันที่ 23 พ.ย. 2563 มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (University of Oxford) ร่วมกับ แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ประกาศผลการทดสอบตัวอย่างวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเบื้องต้น สรุปว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันในระดับสูง
โดยอ็อกซ์ฟอร์ดได้รับผลการทดลองจาก 2 กลุ่มตัวอย่างด้วยกัน กลุ่มแรกทำการฉีดเข็มที่ 1 เพียงครึ่งโดส จากนั้นฉีดเข็มที่ 2 จำนวน 1 โดส ผลปรากฎว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันที่ 90% ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่รับวัคซีน 2 โดสเต็ม มีประสิทธิภาพในการป้องกันที่ 62%
เมื่อนำผลการทดสอบจากทั้งสองกลุ่มมาหาค่าเฉลี่ย จึงสรุปตัวเลขที่ 70.4% โดยไม่มีรายงานการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง และจะรอให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเพื่อสรุปผลการทดสอบในขั้นสุดท้าย รวมถึงรอดูในระยะยาวเพื่อพิจารณาระยะเวลาที่ภูมิคุ้มกันจะอยู่ในร่างกายต่อไป
การทดสอบของตัวอย่างวัคซีนนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมกว่า 24,000 คน จากทั้งในสหราชอาณาจักร บราซิล และแอฟริกาใต้ อีกทั้งยังทำการทดสอบเพิ่มเติมในสหรัฐฯ เคนยา ญี่ปุ่น และอินเดีย โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้เข้าร่วมเกือบ 60,000 คนภายในสิ้นปีนี้
วัคซีนอ็อกซ์ฟอร์ดในชื่อ ChAdOx1 nCoV-19 เป็นวัคซีนที่ทำมาจากไวรัสโดยทำให้เชื้ออ่อนกำลังลง และได้รับการตัดแต่งยีนส์เพื่อให้ไม่สามารถเติบโตและก่อโรคในร่างกายมนุษย์ได้










