ผลการทดสอบยาเม็ดต้านโควิด-19 ของไฟเซอร์ยังคงออกมาเป็นที่น่าพอใจ ด้านซีอีโอเตือนว่าไม่ใช่สิ่งที่นำมาใช้แทนวัคซีน
วันที่ 14 ธ.ค. 2564 สำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) รายงานผลการทดสอบเพิ่มเติมของยาเม็ดต้านโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) ที่มีการแถลงยืนยันว่า สามารถลดโอกาสในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยงได้เกือบ 90% ซึ่งตรงกับผลเบื้องต้นที่ออกมาเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ไฟเซอร์เคยออกมาเปิดเผยว่า ยาเม็ดแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของทางบริษัท สามารถลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้ถึง 89% เมื่อกินยาหลังเริ่มมีอาการ 3-5 วัน จากการทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 1,219 คน
ล่าสุดในการทดสอบกับอาสาสมัครกว่า 2,200 คนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ผลที่ออกมาก็ยังใกล้เคียงกับผลการทดสอบเบื้องต้น โดยทางไฟเซอร์เผยว่า ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ 89% หากได้รับยาหลังมีอาการภายใน 3 วัน และลดได้ 88% หากได้รับยาภายใน 5 วัน
จากการทดสอบในห้องแล็บยังพบว่า ยาตัวนี้สามารถต้านเชื้อโอไมครอน ที่กำลังระบาดอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการทดสอบล่าสุดจะออกมาเป็นที่น่าพอใจ แต่ทางด้าน อัลเบิร์ต เบอร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ ยังยืนยันว่า ยาตัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะมาทดแทนวัคซีน
นายเบอร์ลากล่าวกับทาง CNN ว่า เขาเกรงว่าบางคนอาจจะคิดเช่นนั้น ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง วัคซีนยังเป็นสิ่งจำเป็น เป็นเกราะป้องกันขั้นแรกที่ควรใช้หยุดอาการของโรค โดยเป้าหมายคือการป้องกันไม่ให้ป่วยตั้งแต่แรก
ขณะเดียวกัน ยังมีการศึกษาในแอฟริกาใต้ที่สรุปได้ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค มีประสิทธิภาพในการต้านอาการป่วยขั้นรุนแรงของเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนได้ 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถใช้ในการป้องกันได้
