The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย เวอร์ชั่นคนแสดงเข้าโรงแล้วและเรียกทั้งเสียงชื่นชมและวิจารณ์ออกมามากมาย แต่ส่วนใหญ่จะชื่นชมกับดนตรีที่ไพเราะอลังการ เสียงร้องมหัศจรรย์ของ ฮัลลี เบลีย์ ในบทเงือกน้อย กับเคมีของที่เกินคาดของเธอกับ โจน่าห์ ฮาวเออร์-คิง ในบทอีริค ความน่ารักของสหาย นก ปู ปลา ทั้งสามที่สร้างสีสันให้กับเรื่องเป็นอย่างดี

จากเงือกน้อยผิวขาวสู่เวอร์ชั่นคนดำของ ฮัลลี เบลีย์
ในบรรดา Live Action ที่ดิสนีย์ทำมา The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย เป็นเรื่องที่ดูจะมีกระแสลบเยอะและคำวิจารณ์มากมายมากที่สุด ด้วยการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแอเรียลจากเงือกน้อยผมแดงผิวขาวจัด เป็นนักแสดงผิวดำอย่าง ฮัลลี เบลีย์ ซึ่งการตัดสินใจเปลี่ยนให้แอเรียลเป็นเงือกสาวทรงเดรดล็อค ทำให้หลายคนมองว่าดิสนีย์ทำลายภาพฝันที่ตัวเองสร้างขึ้นมาจนพังไม่มีชิ้นดี แต่ผู้สร้างก็ยืนยันว่า ฮัลลีเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เขาต้องการ หลังจากได้ค้นหามาเป็นพันคน และการแสดงของเธอก็ได้พิสูจน์ว่าการตัดสินใจของพวกเขาไม่ได้ผิดเสียทีเดียว
แม้ว่าเสียงของ ฮัลลี เบลีย์ จะไม่ได้ใสกิ๊งเหมือนเจ้าหญิงและดิสนีย์แบบที่คุ้นเคย ผนวกกับเทคนิคที่มีลูกเล่นแบบอาร์แอนด์บี แต่ก็เหมาะกับการตีความแอเรียลที่ดูจะมีความปราถนาอันแรงกล้าที่จะหลุดพ้นจากกรอบของพ่อไปสู่โลกใหม่ที่เธอเลือก มากกว่าความใคร่รู้และหลงใหลในชายหนุ่มที่เธอหมายปอง การแสดงของเธอก็มีความพอดี ยังไร้เดียงสา มีความแข็งแบบนักสู้และยังมีจริตน่ามอง แม้ว่าบางฉากอาจจะยังตีความและถูกกำกับออกมาแบบแปลกๆ ทำให้การแสดงไม่ได้ราบรื่นตลอดทั้งเรื่องเสมอไปก็ตาม
แต่โดยรวมแล้วแอเรียลของฮัลลี ก็นับว่าเป็นแรงสำคัญที่ทำให้ The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย มีความเพลินหูเพลินตาอยู่มากจนจะนับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องก็ว่าได้ และเคมีของเธอกับ อีริค รวมไปถึงแก๊งสามช่าอย่าง เซบาสเตียน ฟลาวน์เดอร์ และสคัทเทิล ก็ทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
[บทความต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของเรื่อง]
จุดแข็งของ The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย
จุดแข็งที่เวอร์ชั่นคนแสดงทำได้ดีกว่าการ์ตูน คือความรักของพระนางที่มีเหตุผลว่าเป็นคนที่แตกต่างจากสังคมที่ตัวอยู่ ซึ่งทำให้ทั้งสองตัวละครเข้าใจกันมากขึ้น และเรื่องราวความบาดหมางของเงือกกับมนุษย์ ซึ่งทำให้การกีดกันลูกของไทรตันดูมีเหตุผลขึ้นอีกมาก นอกจากนี้ยังมีเพลงที่เรียบเรียงมาใหม่ได้อย่างไพเราะ เคมีของคู่พระนางในฉากบนบกที่มีความพอดี ที่ทำให้เรื่องนี้ควรค่าแก่การชมแม้ใคร ๆ ก็รู้เรื่องอยู่แล้ว แม้เรื่องก็ยังมีรอยแผลมากมายที่กลบไม่มิดก็ตาม

สิ่งที่ทำอาจให้ The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย ไม่สนุกเสียทีเดียว
สิ่งแรกที่หลากคนอาจจะสัมผัสได้ว่าเป็นอุปสรรคของเรื่องคือการที่ตัวละครสัตว์นั้นสมจริงมากเกินไป ทำให้แสดงอารมณ์ได้ไม่มากเหมือนการเป็นตัวการ์ตูนที่ขยายปากและตาให้ใหญ่ทำให้แสดงอารมณ์ได้มากขึ้น แต่หนึ่งในสิ่งที่ทำให้โลกใต้ทะเลดูไม่มีชีวิตชีวาเท่าที่ควร นอกจากความมืดไปในบางฉาก และการออกแบบวังทีดูทึมๆ แล้ว คือการที่มีตัวละครพูดได้น้อยไปมาก เช่น
- ฉากพี่สาวทั้ง 7 ที่เดิมทีเป็นฉากเปิดตัวน้องสาวคนเล็กด้วยคอนเสิร์ต ที่กลายเป็นการประชุมแต่บทพูดก็น้อยมากทำใหคาแรกเตอร์ไม่ชัดและไม่มีประโยชน์กับเรื่องเท่าที่ควร
- ฉากเพลง Under the Sea ที่เคยเป็นหนึ่งในไฮไลต์หลักของเรื่องซึ่งเดิมเคยเป็นเพลง ensemble ที่หมู่มวลใต้ทะเลจะมาร้องเต้นร่วมกัน ซึ่งเพิ่มให้เพลงนี้แตกต่างกับเพลงอื่นๆ และสนุกยิ่งขึ้น ตอนนี้ท่อนที่เคยเป็นสัตว์ทะเลตัวอื่นร้องกลายเป็นท่อนของแอเรียล เพราะสัตว์อื่นที่มาร่วมด้วยไม่ร้องเพลง แม้จะไพเราะดี แต่ก็ทำให้โลกใต้น้ำนี้ดูเงียบเหงาเหมือนตัวอื่นเป็นเพียงพลเมืองชั้นสองประกอบฉากที่พูดแทบไม่ได้เท่านั้น
อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ The Little Mermaid มีเส้นเรื่องและกราฟทางอารมณ์ไม่ค่อยราบรื่นเสียทีเดียวคือการวางเพลง (Song placement)
- การตัดสินใจให้ช่วงแรกของเรื่องไม่มีเพลง ซึ่งแต่เดิมจะเปิดด้วยเพลง Fathoms Below บนเรือของอีริคที่ถูกย้ายไปฉากงานเลี้ยงแทน และการยกเลิกเพลงของพี่สาว อาจจะด้วยความตั้งใจที่ต้องการจะเปิดด้วย Part of Your World เพื่อเน้นย้ำการเล่าเรื่องจากมุมมองของแอเรียลและความต้องการของตัวละคร แต่ความช้าในการใส่เพลงนี้เข้ามาส่งผลให้การเล่าเรื่องผ่านเพลงนั้นไม่ได้ต่อเนื่องกันเหมือนอยู่ๆ เล่าๆ แล้วก็เปลี่ยนวิธีการเล่าเสียอย่างนั้น
- นอกจากนี้เพลงที่ใส่เข้ามาใหม่ แม้จะไพเราะดีทั้งเพลงของอีริค Wild Uncharted Waters แต่การใส่บัลลาด ดูอลังการระดับเดียวกับ Evermore ตอนท้ายของ Beauty and the Beast ที่ความรักของตัวละครดูจะสุกงอมแล้วเต็มที่ ทำให้ทุกอย่างดูเกินเบอร์ไปเล็กน้อย
- อีกเพลงที่ฟังแล้วมีความสะดุดจากเรื่องคือ The Scuttlebutt ที่มีโทนดนตรีโดดจากเพลงอื่นอย่างเห็นได้ชัด

และสิ่งที่ขัดใจที่สุดในเรื่องคือทางเลือกของผู้กำกับในการกำกับการแสดงและบล็อกกิ้งของฉากเพลงต่างๆ นั่นเอง ทั้ง Part of Your World ที่มา reprise บนโขดหินในตำนาน กับการเลือกให้แอเรียลไต่หินจนดูน่ากลัว การพยายามใส่บล็อกกิ้งเก่าที่แอเรียลโต้คลื่นไปแม้จะดูขัดๆ หรือฉาก Wild Uncharted Waters ที่เลือกให้พระเอกวิ่งเล่นไปมาแบบงง ๆ บนโขดหิน และจู่ ๆ ก็ตัดไปกลางน้ำ ทั้งที่ถ้าจะเปลี่ยนฉากก็สามารถเล่นกับบล็อกกิ้งได้อีกมาก
การตัดสินใจเหล่านี้น่าประหลาดใจสำหรับผู้กำกับที่มีประสบการณ์ทำภาพยนตร์มิวสิคัลดีๆ มากมายอย่าง Robb Marshall ที่มีทั้ง Marry Poppins Returns, Chicago, Into the Woods และ Nine อยู่ในโปรไฟล์ จนอาจจะเป็นการดีแล้วที่มีการตัดเพลง Difficult Child ที่เป็นร็อคบัลลาดของ จาเวียร์ บาเด็ม ไปจากการฉายโรง
จังหวะของเรื่องใน 30 นาทีสุดท้ายของภาพยนตร์นั้น เป็นอะไรที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งกับการตัดสินใจให้มีช่องเว้นระหว่างเหตุการณ์ใหญ่ของการปราบเออร์ซูล่า การทำให้แอเรียลเป็นคน (แบบเธอต้องไปขุดชุดเดิมมาใส่) และงานแต่งงานทำให้ทุกอย่างดูยืดและ underwhelming ไปอย่างน่าเสียดาย และทำให้ออกจากโรงมาอย่างไม่อิ่มเอมเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม โดยรวามแล้ว The Little Mermaid เงือกน้อยผจญภัย ก็ยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดูสนุกเพลินๆ มีเพลงไพเราะซึ่งเหมาะกับเด็กๆ และการไปรำลึกความหลังกับเพลงเก่าๆ ที่ประทับใจ แต่การตัดสินใจเลือก ฮัลลี เบลีย์ เป็นนางเอกจะคุ้มค่ากับเสียงวิจารณ์ของผู้ชมหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้ชมเป็นคนตัดสิน แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือการที่เธอเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเหมาะกับการตีความแอเรียลที่ต่างออกไปจากเวอร์ชั่นเดิมที่ดิสนีย์วางไว้
My Country Talks ร่วมกับสำนักข่าว TODAY ขอเชิญผู้ที่มีความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรม World Talks ที่จะชวนคนจากหลากหลายพื้นที่ของโลกมาแลกเปลี่ยนไอเดีย เรื่องราว มุมมอง ผ่านการสนทนาแบบ 1:1
ผู้เข้าร่วมจะได้รับโอกาสพูดคุยกับผู้ที่มาจากต่างวัฒนธรรม ต่างบริบท ต่างแนวคิด โดยคัดจากการตอบคำถามในแง่มุมต่างๆ
หากท่านสนใจเข้าร่วม สามารถเริ่มต้นจากการตอบคำถามด้านล่างนี้ หรือเข้าไปที่ https://www.theworldtalks.org/invite
*คำถามและบทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ










