เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายของบทความ How To เสียภาษี ที่ช่วยทำให้เราเข้าใจวิธีการเสียภาษีกันมากขึ้นแล้วนะครับ ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน 2 ตอนแรก เข้าไปอ่านที่นี่ได้เลย
- How to เสียภาษี (ตอน 1) รายได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นแบบฯ แปลว่า ต้องเสียภาษีแล้วหรือไม่
- How to เสียภาษี (ตอน 2) เงินได้พึงประเมิน ค่าใช้จ่าย ค่าลดหน่อย แบบไหนหักลดภาษีได้อย่างไร
หลังจากที่เพื่อน ๆ เข้าใจคำว่า “เงินได้สุทธิ” ต่างจาก “เงินได้พึงประเมิน” อย่างไร และคำนวณหาเงินได้สุทธิเป็นแล้ว การเสียภาษีก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป คราวนี้มาดูกันครับว่า เราจะนำเงินได้สุทธิไปคำนวณหาภาษีที่ต้องจ่ายได้อย่างไร
- เราต้องเสียภาษีในอัตราไหน
อันดับแรก ต้องเข้าใจก่อนว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของบ้านเราเป็นอัตรา “ก้าวหน้า” หรือ “ขั้นบันได” (Progressive Rate) หมายความว่า ยิ่งเรามีเงินได้สุทธิมากขึ้น เราก็จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นเป็นลำดับ
การเสียภาษีแบบนี้ เราต้องเอาเงินได้สุทธิมาแยกออกเป็นขั้น ๆ ก่อนนำไปคำนวณภาษีในแต่ละขั้น โดยเริ่มจากอัตราภาษีต่ำสุดแล้วไล่ลำดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่เอารายได้สุทธิทั้งหมดไปคูณกับอัตราภาษีขั้นสูงเลย อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงง ๆ เรามาลองดูตาราง “อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” แล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจพร้อมกันครับ

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สมมติว่า เรามีเงินได้สุทธิ 400,000 บาท ไม่ได้หมายความว่าเราต้องนำ 400,000 บาท ไปคูณอัตราภาษี 10% แล้วได้เป็น “ภาษี” ที่จะต้องเสียเลยนะครับ แต่เราต้องแยกเงิน 400,000 บาท ออกมาเป็นขั้น ๆ แล้วถึงนำไปคูณกับอัตราภาษีในแต่ละขั้น แบบนี้ครับ
- เงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษี = 0 บาท
- เงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,001 – 300,000 บาท นำไปคูณอัตราภาษี 5% จะเท่ากับ 150,000 x 5% = 7,500 บาท
- เงินได้สุทธิตั้งแต่ 300,001 – 400,000 บาท นำไปคูณอัตราภาษี 10% จะเท่ากับ 100,000 x 10% = 10,000 บาท
- ดังนั้น เราจะต้องเสียภาษีรวมทั้งสิ้น 0 + 7,500 + 10,000 = 17,500 บาท

- ได้ภาษีคืน หรือ ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม คำนวณอย่างไร
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมบางปีเราได้ภาษีคืน หรือ ทำไมบางปีเราต้องเสียภาษีเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ใช้สิทธิลดหย่อนเหมือนเดิม แล้วสรรพากรเขาดูอย่างไรว่าเราควรต้องจ่ายภาษีเพิ่ม หรือเขาควรจะคืนเงินภาษีให้เรา
เรื่องนี้ง่ายมากครับ ความจริงแล้วภาษีที่เราต้องเสียนั้นมีสูตรเดียว คำนวณตามที่ผมอธิบายไปคือหา “เงินได้สุทธิ” แล้วมาคูณกับ “อัตราภาษี” ในแต่ละขั้นออกมา เราจะได้ภาษีสุทธิที่เราต้องเสีย ส่วนที่เราต้อง จ่ายเพิ่ม หรือ ได้คืน มันอยู่ที่ “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย”
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นการประเมินอย่างคร่าว ๆ ของนายจ้างหรือคนที่จ่ายเงินให้กับเรา ซึ่งเขามีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องหักภาษีในทุก ๆ ครั้งที่จ่ายเงินให้กับเรา และนำส่งกรมสรรพากร เช่น ถ้าเรามีเงินเดือน 35,000 บาท บริษัทอาจคำนวณแล้วว่าเราจะต้องเสียภาษีในปีนั้น ประมาณ 6,000 บาท เขาจึงหักภาษี ณ ที่จ่าย จากเงินเดือนของเราเดือนละ 500 บาท เพื่อนำส่งสรรพากร
พอถึงสิ้นปี เมื่อเราต้องยื่นแบบเสียภาษี บริษัทก็จะให้ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “ใบทวิ 50″ มาเป็นหลักฐานว่า บริษัทหักภาษีจากรายได้ของเราส่งให้กับกรมสรรพากรไปแล้วกี่บาท
ทีนี้ หากเราคำนวณภาษีที่ต้องเสียในปีนั้นออกมาแล้ว พบว่าจริง ๆ เราต้องจ่ายภาษีทั้งสิ้น 7,000 บาท ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องควักเงินอีก 7,000 บาทไปจ่ายนะครับ เพราะอย่าลืมว่าบริษัทเขาหักเงินของเราไปเสียภาษีแล้ว 6,000 บาท นั่นแปลว่า เรามีภาษีที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกจริง ๆ เพียงแค่ 1,000 บาทเท่านั้น
และในทางกลับกัน หากคำนวณภาษีแล้วพบว่าจริง ๆ เรามีภาษีที่จะต้องเสียเพียง 4,000 บาท แบบนี้กรมสรรพากรซึ่งรับเงินภาษีของเราไปแล้ว 6,000 บาท ก็จะต้องคืนส่วนต่าง 2,000 บาทกลับมาให้เรา

- สรุป 7 ขั้นตอนการเสียภาษี
Step 1 รวบรวมรายได้ของเราที่จะต้องเสียภาษีในปีภาษีนั้น (1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) ว่าเรามีรายได้ทั้งหมดเท่าไหร่ เรียกว่า “เงินได้พึงประเมิน”
Step 2 พิจารณาว่าเงินได้พึงประเมินของเราเป็นเงินได้ประเภทไหน 40(1) – 40(8) เพื่อคำนวณหา “ค่าใช้จ่าย” ที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้เงินได้ของเราในแต่ละปีอาจจะมีหลายประเภทก็ได้
Step 3 รวบรวม “ค่าลดหย่อน” ที่เราสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปีนั้น ๆ ซึ่งดูได้จากเอกสารที่เราใช้สิทธิ์ไป เช่น หนังสือรับรองดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน หนังสือรับรองการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต หนังสือรับรองการจ่ายเงินประกันสังคม หนังสือรับรองการซื้อ LTF RMF เป็นต้น
Step 4 นำเงินได้พึงประเมินมาหักออกด้วย ค่าใช้จ่าย และ ค่าลดหย่อน เพื่อหา “เงินได้สุทธิ”
Step 5 นำเงินได้สุทธิไปเทียบกับตารางอัตราภาษีเงินได้ แล้วคำนวณภาษีที่ต้องเสียในแต่ละขั้น รวมเป็นภาษีทั้งหมดที่จะต้องเสีย
Step 6 เปรียบเทียบระหว่างภาษีที่ต้องเสีย กับ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเราโดนหักไปแล้วในปีภาษีนั้น หากเราโดนภาษีหัก ณ ที่จ่าย มากกว่าภาษีที่ต้องเสีย เราก็สามารถขอคืนภาษีได้ แต่ถ้าเราโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย น้อยกว่าภาษีที่ต้องเสีย เราก็จะต้องเสียภาษีเพิ่ม
Step 7 ยื่นแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับสรรพากร โดยเราสามารถยื่นเป็นแบบฟอร์มที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือจะยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ตของสรรพากรก็ได้ ทั้งนี้เราจะต้องเลือกแบบฟอร์มในการยื่นภาษีให้ถูกต้องตามประเภทเงินได้ของเราด้วย
ผมเชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่อ่านบทความ How To เสียภาษี ทั้ง 3 ตอนจบ จะเข้าใจวิธีการเสียภาษีมากขึ้น และรู้ว่าความจริงแล้วการเสียภาษีไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าอยากรู้ลึกรู้จริงเรื่องการเสียภาษี รวมทั้งอยากประหยัดภาษีให้ได้มากกว่านี้ เอาไว้ผมจะมาเขียนถึงเทคนิคการลดหย่อนภาษีให้ได้อ่านกันนะครับ










