https://www.facebook.com/WorkpointNews/videos/151581862681886/
“ในวิกฤติย่อมมีโอกาส” หลายคนเชื่อเช่นนั้น และคิดว่าในช่วงนี้ที่ไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ระบาด จนส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ นี่แหละเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าไปลงทุน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ใกล้ตัวเลยก็คือ ตลาดหุ้นไทย (SET) ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว (2560) หุ้นไทยยังอยู่แถว 1,800 กว่าจุด ซึ่งช่วงนั้นหลายคนเชื่อว่าหุ้นจะทะยานไปถึง 2,000 จุดในไม่ช้า แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น SET ก็ปรับตัวลดลงมาเรื่อย ๆ จนมาเจอวิกฤติโควิด-19 ทำให้หุ้นไทยร่วงแรงจนหลุด 1,300 จุดไปแล้ว หลายคนจึงคิดว่า นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ซื้อของถูก และฝันว่าอีกปีสองปีข้างหน้าหุ้นไทยจะสามารถทะยานกลับไปสู่ระดับ 1,700 – 1,800 จุดอีกครั้ง
แต่เพื่อน ๆ ทราบหรือไม่ ว่าในปี 2537 หรือเมื่อประมาณ 26 ปีที่แล้ว หุ้นไทยก็เคยขึ้นไปที่ระดับสูงสุด 1,753.79 กระทั่งเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ตลาดหุ้นบ้านเราลดลงมาอยู่ที่ 700 – 800 จุดเท่านั้น ซึ่งหลายคนคิดว่า นั่นคือจังหวะที่หุ้นไทยถูกสุด ๆ แล้ว หารู้ไม่หลังจากนั้นหุ้นไทยกลับยังวิ่งลงไม่หยุดจนเหลือแค่ 200 กว่าจุดในปี 2541
แปลว่านอกจากในวิกฤติจะมีโอกาสแล้ว มันมีหายนะซ่อนอยู่เช่นกัน
ที่เกริ่นมาแบบนี้ไม่ได้จะขู่ให้ทุกคนตกใจกลัวจนไม่กล้าลงทุนนะครับ เพราะแม้ว่าการลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนเลยย่อมเสี่ยงกว่า เพียงแต่ถ้าเราจะเสี่ยง ก็ควรมีข้อมูลมากเพียงพอก่อนตัดสินใจลงทุนครับ เอาเป็นว่า ผมมีคำแนะนำมาฝากเพื่อน ๆ ที่อยากลงทุนในช่วงวิกฤติแบบนี้ครับ
- โอกาสเหมาะที่จะลงทุน มาถึงแล้วหรือยัง
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ต้องถามกลับไปก่อนว่า แล้วเพื่อน ๆ สนใจจะลงทุนอะไร เพราะการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทมีจังหวะเวลาไม่เหมือนกันครับ
ถ้าจะลงทุนใน หุ้น ผมแนะนำว่าช่วงนี้ให้ถือเงินสดไว้ดีกว่าครับ เพราะตลาดหุ้นไม่ชอบอะไรที่ไม่แน่นอน ไม่ชัดเจน ซึ่งเรื่องที่ไม่แน่นอนหรือไม่ชัดเจนตอนนี้ก็คือ ไวรัสโควิด-19 เนื่องจากเรายังไม่รู้เลยว่าประเทศต่าง ๆ จะสามารถควบคุมการระบาดได้เมื่อไหร่ หรือวัคซีนที่ใช้ต้านไวรัสตัวนี้จะผลิตออกมาได้หรือไม่ ช่วงเวลาไหน
ดังนั้น ถ้าเป็นการลงทุนในตลาดหุ้น ผมแนะนำว่าให้รอความชัดเจนก่อน หากมีสัญญาณบวกว่าประเทศต่าง ๆ สามารถควบคุมการระบาดได้ มียารักษา มีวัคซีนออกมาแล้ว เราค่อยไปลงทุนช่วงนั้นก็ยังไม่สายครับ อย่าคิดว่าเราจะต้องซื้อหุ้นในจุดที่ต่ำที่สุด เพราะไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้ ไม่อย่างนั้นนักลงทุนคงรวยกันหมดแล้ว แต่ผมแนะนำว่าให้ซื้อหุ้นหรือกองทุนหุ้นในช่วงเวลาที่มีความชัดเจน และตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกดีกว่าครับ
- ถ้ายังไม่ลงทุนในหุ้น ช่วงนี้จะลงทุนอะไรดี
เรื่องนี้ก็ตอบยากเช่นกันครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะลงทุนแล้วมีแต่กำไร เพราะการลงทุนย่อมมีโอกาสขาดทุนด้วยเช่นกันครับ
ดังนั้น ถ้ารับความเสี่ยงได้มาก (ยอมรับได้ถ้าขาดทุน) ผมแนะนำให้ลงทุนในทองคำสักประมาณ 10 – 20% ของพอร์ตการลงทุน เพราะแม้ว่าตลาดทองจะขึ้นมาสูงพอสมควรแล้ว แต่เมื่อความกังวลเรื่องโควิด-19 ยังมีอยู่ นักลงทุนบางส่วนก็ยังเชื่อมั่นว่าการลงทุนในทองคำปลอดภัยกว่าการลงทุนในหุ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนในทองคำช่วงนี้ผันผวนมาก เพื่อน ๆ อาจต้องติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด ไม่เหมือนกรณีปกติที่รอ 6 เดือน หรือ 1 ปี แล้วค่อยปรับพอร์ตการลงทุน
แต่ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนรับความเสี่ยงได้น้อยหรือไม่ได้เลย ผมก็แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำมาก ๆ เช่น ซื้อสลากออมสิน พันธบัตรรัฐบาล เงินฝากประจำพิเศษ หรือ ประกันสะสมทรัพย์ ดีกว่าครับ
- ถ้า DCA อยู่แล้ว ควร DCA ต่อไปหรือพักก่อน
DCA หรือ Dollar Cost Average เป็นเทคนิคการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย โดยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่า ๆ กันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ DCA จะเห็นผล ส่วนตัวผมแนะนำให้พิจารณาก่อนว่า สิ่งที่เรา DCA อยู่นั้น ในระยะยาวยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ เช่น ถ้าเรา DCA ในหุ้น เราควรตอบคำถามเบื้องต้นให้ได้ก่อนว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจนั้น ๆ ยังน่าลงทุนหรือไม่ ยังสร้างผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นอยู่หรือไม่
ถ้าคำตอบ คือ ใช่ – ผมแนะนำให้ DCA ต่อไปครับ เพราะช่วงที่หุ้นตกถือว่าเป็นช่วงที่เราได้ของถูก ทำให้ได้จำนวนหุ้นมากขึ้นในจำนวนเงินลงทุนเท่าเดิม มาลองดูตัวอย่างง่าย ๆ กันครับ สมมติว่าผม DCA หุ้นตัวหนึ่ง จำนวน 2,000 บาทต่อเนื่องทุก ๆ เดือน ตามตารางด้านล่างนี้

จะเห็นว่า ช่วงที่ผมเริ่มลงทุนหุ้นตัวนี้มีมูลค่าสูงถึง 13 บาท หลังจากนั้นหุ้นที่ผมเลือก DCA ก็ราคาลดลงเรื่อย ๆ ติดต่อกัน 6 เดือน มาสู่ระดับต่ำสุดที่ 6 บาท หลังจากนั้นก็มีการปรับตัวขึ้น-ลง จนจบปีที่ราคา 9 บาทต่อหุ้น ซึ่งก็ยังเป็นมูลค่าที่ต่ำกว่าราคาหุ้นที่ผมเริ่ม DCA ในเดือนแรกด้วยซ้ำ
- แต่เมื่อ DCA เป็นการเฉลี่ยต้นทุน คิดแบบง่าย ๆ ก็คือ ผมลงเงินไปทั้งสิ้น 24,000 บาท (เดือนละ 2,000 บาท) ผ่านไป 12 เดือน ผมได้หุ้นกลับมา 2,841.94 หุ้น
- แสดงว่าผมมีต้นทุนหุ้นเฉลี่ย 24,000 / 2,841.94 = 8.44 บาทต่อหุ้น
- ถ้าผมขายหุ้นทั้งหมดออกไป ณ เดือนที่ 12 ผมจะได้เงินกลับมา 2,841.94 x 9 = 25,577.47 บาท
- แปลว่า ผมยังได้กำไร 25,577.47 – 24,000 = 1,577.47 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 6.57% เลยทีเดียว
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะถ้าเพื่อน ๆ สังเกตในตาราง ช่วงที่หุ้นราคาลงมาก ๆ จำนวนเงินที่ผมลงไปนั้นจะทำให้ผมได้จำนวนหุ้นกลับมามากขึ้น และเมื่อราคาหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้น จำนวนหุ้นที่ผมมีมันก็จะสร้างผลกำไรให้ผมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การจะ DCA แล้วให้ได้ผลตอบแทนแบบนี้ เราต้องเลือกหุ้นให้ถูก เพราะหุ้นบางตัวอาจมีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ อย่างเดียวก็ได้ และการ DCA หุ้นที่ดี เราไม่ควร DCA หุ้นแค่ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น เพราะการลงทุนจะต้องกระจายความเสี่ยงออกไปด้วย แต่ถ้าเพื่อน ๆ ไม่รู้จะ DCA หุ้นตัวไหนดี ผมแนะนำให้ DCA กองทุนดีกว่าครับ เพราะอย่างน้อยผู้จัดการกองทุนเขาเลือกหุ้นมาให้เราแล้ว










