นับตั้งแต่ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นั่งเก้าอี้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ทยอยปรับตัวขึ้นมาจากระดับ 1,289.84 จุด หรือปรับตัวขึ้นแล้วมากกว่า 100 จุดเลยทีเดียว
และวันนี้ (05 ก.ย.67) หุ้นไทยฟื้นแรงปิดตลาดปรับตัวขึ้น +38.79 จุด หรือ +2.84% ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,404.28 จุด
โดยทำจุดสูงสุดที่ 1,408 จุด และต่ำสุดที่ 1.371 จุด ด้านมูลค่าซื้อขายตลอดทั้งวันอยู่ที่ 81,736 ล้านบาท
‘ณัฐพล คำถาเครือ’ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) บอกว่า SET Index บวกจาก 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ
1. บวกตามตลาดต่างประเทศ และวันนี้เอเชียก็ฟื้นตัวดีเช่นกัน
2. บวกจากปัจจัยหนุนการจัดตั้งรัฐบาลของไทยที่ใกล้จะได้ทำงานเต็มที่แล้ว
3. บวกจากกองทุน ‘วายุภักษ์‘ ที่มีไทม์ไลน์ชัดเจนว่าเม็ดเงิน 1-1.5 แสนล้านบาท จะไหลเข้ามาในเดือน ต.ค.
แต่พอถามถึงกรอบ เบื้องต้นยังให้ไว้ 1,395-1,411 ก่อน ส่วนหุ้นแนะนำ เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งได้่แก่
หุ้นปันผลดี LB , OSP, BJC หุ้นไซส์กลาง BCP, SABINA , WHAUP
ส่วน ‘สรพล วีระเมธีกุล’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย เล่าให้ฟังถึงการพุ่งตัวของตลาดหุ้นไทยวันนี้ ว่า มี 3 ปัจจัยหลักๆ
1.เทรนด์ตลาดหุ้นโลกเปลี่ยนจากโดยเฉพาะกับตลาดหุ้นเอเชีย จากเดิมที่นักลงทุนเน้นหุ้นเติบโต (Growth Stock) ก็มาเน้นลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่า (Value Stock) มากขึ้นแทน
ทำให้ไทยที่ถือเป็นตลาดหุ้นที่มีหุ้นเน้นคุณค่ามากที่สุดได้รับอานิสงส์นั้น
2. ความชัดเจนของกองทุนวายุภักษ์ที่คาดการว่าเม็ดเงินจะไหลมาสนับสนุนในประเทศไทยราวๆ 1.5 แสนล้านบาท
3. ตลอดเวลาที่ผ่านมา Set Index โตต่ำกว่าตลาดหุ้นโลกทั่วโลกถึง 40% ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมในทุกๆ ตลาดค่อยๆ ดีขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ทำให้ฟื้นตัวแรง
โดยบมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย ประเมิณว่าดัชนีหุ้นไทยยังไปต่อที่ 1,444 จุด
สำหรับกรณีการเมืองถือว่าค่อยๆ นิ่งขึ้นคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร และคาดการณ์ว่าเงินดิจิทอลวอลเล็ตจะเบิกจ่ายทันในช่วงเดือนต.ค.นี้
ด้าน ‘กรภัทร วรเชษฐ์’ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ดี (Outperform ) ตลาดภูมิภาคมาแล้ว 2 วันติดต่อกัน
โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ดีมาจากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และกองทุนวายุภักษ์ที่น่าจะเข้ามาช่วยหนุนเม็ดเงินลงทุนรอบใหม่ขึ้นมาได้
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ที่น่าจะคึกคักมากขึ้นในช่วงปลายปีก็น่าจะมีแนวโน้มที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ กระแสตลาดหุ้นโลกกำลังเปลี่ยนโดยกำลังมองหาตลาดหุ้นคุณค่า (Value) มากขึ้น ซึ่งไทยก็จัดเป็นตลาดหุ้นคุณค่าที่นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น
โดยประเมินแนวต้าน 1,410 – 1,417 จุด ถ้าผ่านจุดนี้ขึ้นไปได้ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ










