เมื่อตลาดหุ้นไทย ต้องตรวจสอบเคสต่างๆ มากถึง 5 แสนรายการต่อวัน

เมื่อตลาดหุ้นไทย ต้องตรวจสอบเคสต่างๆ มากถึง 5 แสนรายการต่อวัน

การเงิน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปกว่า 20% เพราะไม่ค่อยมีเสน่ห์ วอลุ่มการซื้อขายก็ลดลงไปมาก แต่หลังจากนี้จะทำอย่างไรให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

‘อัสสเดช คงสิริ’ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ : เสริมศักยภาพตลาดทุนไทย สู่ Top List ตลาดทุนโลก ว่า บทบาทของเราคือทำให้ บจ. โตได้ ตลาดหุ้นก็จะโตตาม

เพราะปัจจุบันหุ้นไทย P/E อยู่ที่ 20 เท่า ถ้าจะให้ดัชนีขึ้นไปถึง 2,000 จุด ต้องทำให้กำไร EPS โต 40% หรือเติบโตเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ 6.72% ต่อปี แต่ตอนนี้ EPS โตเฉลี่ยที่ 5% ต่อปีเท่านั้น

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าตลาดหลักทรัพย์มีการเติบโตขึ้นมาจากในปี 2557 โดย SET อยู่ที่ 13.8 ล้านล้านบาท แต่ในปี 2567 อยู่ที่ 18.0 ล้านล้านบาท ที่สำคัญยังมีหลายอุตสาหกรรมที่เข้ามาเพิ่มขึ้นในตลาด

ถือเป็นสัญญาณที่ดีและเป็นสิ่งที่จะต้องพัฒนาต่อไปเพื่อให้มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดและเป็นทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุนมากขึ้นในอนาคต

ความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น (Trust & Confidence) ก็ยังสำคัญเพราะเป็นตลาดทุนจะขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้ ในแต่ละวันตลาดหลักทรัพย์มีการตรวจสอบเคสต่างๆ วันละกว่า 500,000 รายการและมีข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนประมาณ 200 – 300 เรื่องต่อวัน

ตลาดหลักทรัพย์เลยจะสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่น ด้วยการนำ AI มาใช้ในงานด้านกำกับบริษัทจดทะเบียน เพื่อติดตาม ช่วยตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ให้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีแผนช่วยเหลือ บจ.ขนาดเล็กที่นักวิเคราะห์เข้าไม่ถึง หรือไม่ได้มีบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วยในการออกรายงาน หรือรีพอร์ทเป็นภาษาต่างๆ เป็นต้น

[ เปิดแผนการทำงาน ]

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนกลยุทธ์ 3 ปี (2568-2570) ในการพัฒนาองค์กรภายใต้แนวคิดเพื่อส่วนรวมและความเท่าเทียม (Fair & Inclusive Growth) ผ่าน 3 เรื่อง ได้แก่

1.มุ่งมั่นเพื่อโอกาสการเติบโต (Enable Growth Ambitiously) โปรแกรมหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังทำ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นทำอยู่แล้ว เช่น เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่น ซึ่งเราเอามาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

โดยใช้ชื่อว่าโครงการ Jump+ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน โดยเน้นบริษัทที่มีศักยภาพและมีความมุ่งมั่นในการเพิ่มมูลค่าของบริษัท โดยบริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าร่วมตามความสมัครใจ

และจะหารือกระทรวงการคลังเพื่อสร้างแรงจูงใจด้านภาษี รวมถึงการสร้างแรงจูงใจด้านการซื้อและควบรวมกิจการ ( M&A) ที่ถือเป็นกลไกสำคัญสร้างการเติบโตของกิจการ

2.ร่วมพัฒนาเพื่อความทั่วถึง (Grow Together & Inclusively) สิ่งที่กำลังพัฒนาคือ Bond Connect Platform เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนบุคคลเข้าถึงการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกและตลาดรองได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ยังเน้นการสื่อสารที่เข้าถึง ทั่วถึง สร้างความเข้าใจในประเด็นที่ผู้ลงทุนควรรู้แบบเข้าใจง่ายและทันการณ์ ผ่านช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น

3.สรรสร้างคนและอนาคต (Groom People & Our Future) มีออกแบบรูปแบบ Carbon Market Platform ที่เหมาะสม ให้รองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในตลาดภาคบังคับและภาคสมัครใจ  เพื่อส่งเสริมการมุ่งสู่ Low Carbon Economy และ Net Zero ในปี 2593

เรียบเรียงจากงานสัมมนา Thailand Next Move 2025 : “Resiliency for an Uncertain World” จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง